CHAPTER 2
แสงแดดที่สาดส่องผ่านบานเกล็ดห้องพิเศษเตือนมารีว่าถึงเช้าวันใหม่แล้ว เธอกะพริบตาถี่เมื่อถูกแสงสว่างยามเช้ารบกวน
เมื่อเธอไม่มีท่าทีโวยวายอีก เหตุการณ์จึงสงบลง มารีพยายามตั้งสติ เพื่อไม่ให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่เลวร้ายไปกว่านั้น เธอไม่ได้โง่ ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องแสดงออกให้คนอื่นเห็นแล้วคิดว่าเธอเป็นบ้า เมื่อคนไข้ไม่โวยวายจึงไม่ถูกมัดอีกต่อไป
“ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ยังมีอาการปวดหัวไหม” เมื่อคุณหมอนภัทรเข้ามาตรวจ ยังคงถามซ้ำคำถามเดิมเมื่อวาน
คราวนี้มารีส่ายหน้า เห็นแววตาเรียวรีภายใต้แว่นของคุณหมอยังคงมองนิ่งเหมือนชั่งใจเธอจึงรีบยืนยันอีกครั้ง
“ฉันสบายดีแล้วจริง ๆ ค่ะ”
“ไม่ปวดหัวนะครับ” คิ้วของคุณหมอยังขมวดขึ้น เมื่อวันนี้อาการคนไข้ต่างจากเมื่อวาน จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
“ไม่ค่ะ!” เธอยืนยันเสียงหนักแน่น ขืนไม่ยืนยันแบบนี้คงได้ถูกจับมัดอีกรอบ
“ถ้าอย่างนั้นหมอจะให้นอนดูอาการอีกสักวัน ถ้าวันนี้ไม่มีอาการผิดปกติพรุ่งนี้หมอจะให้กลับบ้านนะครับ”
คนไข้ร่างผอมรีบพยักหน้าเร็ว ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ดีเหมือนกันเธอจะได้นอนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นอีกวัน จะได้มีเวลาคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
หลังจากคุณหมอหนุ่มออกไปสักพัก พ่อและแม่เลี้ยงของเธอก็เข้ามาเยี่ยม เมื่อเช้าแม่เลี้ยงของเธอเพิ่งกลับออกไปตอนตีห้า เพื่อไปอาบน้ำที่บ้านและให้เด็กในบ้านมาเฝ้าต่อ เพราะมีนาไม่มาด้วยและเธอพอจะตั้งสติได้บ้างแล้ว เลยทำให้ผู้เป็นพ่อลดความกังวลลงได้บ้าง แต่พอเห็นเรียวคิ้วขมวดมุ่นของลูกสาวที่มองไปยังภรรยา คุณมานิษก็ถามซ้ำอย่างไม่สบายใจ
“เป็นอะไรไปมารี เมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า” ท่านถามขณะเดินไปลูบผมลูกสาวด้วยความเวทนา อายุเท่านี้ลูกสาวของเขากลับเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยเหลือเกิน ไม่รู้เด็กคนนี้จะทุกข์ใจแค่ไหน
“จริงสิคะ เมื่อคืนฉันตื่นขึ้นมากลางดึกก็เห็นหนู มารีตื่นก่อนแล้ว ไม่รู้ได้พักผ่อนบ้างหรือยัง” คุณดาราที่ปอกแอปเปิลอยู่ข้างเตียงเงยหน้ามองลูกเลี้ยง เห็นแววตากลมโตหม่นลง ก็รู้สึกไม่สบายใจ มารีเป็นคนรูปร่างค่อนข้างผอมบาง แต่มีใบหน้ากลม ดวงตากลมโตน่ารัก เป็นเด็กที่มีความสดใสแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าเสมอ แต่มาวันนี้แววตาที่เคยเปล่งประกายของเธอกลับไร้ชีวิตชีวาไปมาก
“จริงเหรอ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” คราวนี้น้ำเสียงของคุณมานิษร้อนใจจริง ๆ
“เปล่าค่ะ หนูแค่ฝันร้าย” พอเห็นคนเป็นพ่อร้อนใจมารีก็รีบเงยหน้าสบตายืนยันกับท่านว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรเลยจริง ๆ ก่อนที่พ่อของเธอจะเป็นห่วงมากจนกดปุ่มเรียกคุณหมอและคุณพยาบาลเข้ามาอีก และมันอาจจะทำให้เธอถูกมัดไม่ก็ถูกยัดยาคลายเครียด ทำให้หลับไปอีกรอบแน่
มารีละสายตาจากใบหน้าพ่อมองไปที่แม่เลี้ยง คุณดารายังคงมีแววตาอ่อนโยน และห่วงใยเธอไม่เปลี่ยน ตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่าแววตาเอื้ออาทรที่มองมานั้นมีความจริงใจมากน้อยแค่ไหน แม้จะบอกตัวเองว่าแม่กับลูกคือคนละคนกัน แต่เมื่อมองหน้าผู้หญิงคนนี้ ในหัวเธอก็มีแต่ภาพใบหน้าสวยเฉี่ยวของมีนา ซ้อนทับกับภาพชายหญิงที่พลอดรักกันในห้องทำงาน ก่อนที่เธอจะเกิดอุบัติเหตุวันนั้น เธอจึงละสายตาจากแม่เลี้ยงแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างแทน
“ไม่เป็นอะไรแน่นะมารี” คนที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนป่วยมีอารมณ์ขุ่นเคืองตั้งแต่ตื่นขึ้นมาถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นอาการไม่ปกติของลูกเลี้ยง
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” มารีหลับตาลงไม่ยอมมองหน้าเธอขณะตอบ
คุณมานิษยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง แม้จะยังเป็นห่วงลูกอยู่มากแต่ก็ถึงเวลาต้องไปทำงานแล้ว
มารีหันมาเห็นท่าทางกระวนกระวายของพ่อก็พอเข้าใจ
“พ่อไปทำงานเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงมารีไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ” ใบหน้าซีดเซียวส่งยิ้มให้พ่ออีกครั้งเพื่อยืนยัน
“วันนี้พ่อต้องไปดูงานต่างจังหวัด” คนพูดยังคงลังเลอยู่มาก ใจหนึ่งก็ยังเป็นห่วงลูกสาว แต่โปรเจกต์ใหม่ก็สำคัญจริง ๆ
มารีพยักหน้าเข้าใจ เท่าที่จำความได้ พ่อของเธอก็ทำงานหนักมาตลอด
“พ่อไปเถอะ ไม่ต้องห่วงมารีเลย ตอนนี้หนูรู้สึกปกติดีมากจริง ๆ ค่ะ”
“อย่างนั้นพ่อจะให้คุณดาราอยู่เป็นเพื่อนลูก”
“ไม่ต้องค่ะ!” คนป่วยปฏิเสธเสียงดัง และต้องรีบแก้ต่างเมื่อพบว่าตัวเองเผลอแสดงท่าทางที่ไม่ปกติออกไปอีกแล้ว
“ให้นุชอยู่เป็นเพื่อนหนูก็ได้ค่ะ คุณ...แม่จะได้กลับไปพักผ่อน” นุชที่เธอพูดถึงคือเด็กในบ้านที่โตมาด้วยกันกับมารี
ชาติที่แล้วก่อนที่จะตายเธอรักแม่เลี้ยงไม่ต่างจากแม่แท้ ๆ แม่ของเธอเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ เมื่อคลอดเธอได้อายุเพียงห้าปีก็เสียชีวิตลง ดังนั้นคนที่ดูแลเธอมาจนเติบโตคือแม่เลี้ยงอย่างคุณดารา มารีจึงเรียกผู้หญิงคนนี้ว่าแม่โดยไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด
แต่วันนี้คำว่า แม่ กลับพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก
“เดี๋ยวหนูดูแลคุณมารีเองค่ะ คุณนายเฝ้าเธอมาทั้งคืนแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” นุชเด็กสาววัยยี่สิบปียืนยันขันแข็ง แม่ของนุชเป็นแม่บ้านของครอบครัวนี้ เธอเกิดและเติบโตขึ้นมาพร้อมกับมารี
มารีหันไปมองนุชน้ำตารื้น นี่อาจจะเป็นเพียงแค่ไม่กี่คนที่จริงใจกับเธอ จนกระทั่งถึงวันที่เธอแต่งงานและย้ายออกไปอยู่กับปริญ นุชก็ย้ายออกไปกับเธอด้วย หลังจากนี้อีกสองปีคุณดาราและพ่อของเธอก็มีลูกชาย เธอจำได้ว่าน้องชายหน้าตาน่ารัก อ้วนจ้ำม่ำ และเด็กคนนั้นเอาแต่ตามติดเธอแจ แถมชอบใจเธอมากกว่ามีนาเสียอีก
ก่อนพ่อเธอเสีย พ่อได้ยกบริษัทให้เธอและปริญ ส่วนบ้านยกให้น้องชายและคุณดารา ตอนนั้นเธอไม่ได้รู้สึกอิจฉาอะไรเลย ใครก็รู้ว่าพ่อรักเธอมากแค่ไหน ส่วนเด็กคนนั้นก็เป็นลูกแท้ ๆ ของเขา ที่แปลกอยู่บ้างน่าจะเป็นเรื่องของมีนา มีนาคอยช่วยงานพ่อทุกอย่าง เธอเองก็คิดว่าพ่อรักมีนาไม่ต่างจากลูกสาวแท้ ๆ แต่สุดท้ายพ่อกลับไม่ได้ยกอะไรให้ผู้หญิงคนนั้นเลย
คุณมานิษหันไปมองท่าทางอ่อนล้าของคนเป็นภรรยาก็เห็นด้วย เมื่อคืนคุณดาราเฝ้ามารีมาตลอดทั้งคืน โซฟาที่โรงพยาบาลก็คงไม่สบายนัก อีกอย่างถ้าเป็นนุชเขาก็พอวางใจได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นคุณมานิษจึงหันไปบอกภรรยา
“ให้นุชดูแลมารีก็ดีเหมือนกัน คุณกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
คุณดารายังคงหันมองลูกเลี้ยงด้วยความกังวล คนป่วยจึงฝืนส่งยิ้มให้เพื่อให้ผู้หญิงคนนี้กลับไปเสียที เมื่อเห็นรอยยิ้มใสซื่อจริงใจของลูกเลี้ยง คุณดาราก็ผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลาย แววตาหวาดระแวงไม่เชื่อใจที่ตื่นมาเห็นตอนเช้ามืดนั้นเธอคงคิดมากไปเอง
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะกลับไปรอที่บ้าน พรุ่งนี้จะทำอาหารที่หนูมารีชอบไว้ให้นะคะ”
“ค่ะ” เธอรับคำสั้น ๆ
“พรุ่งนี้พ่อไปทำงานต่างจังหวัดกับมีนา เดี๋ยวจะส่งคนมารับหนูนะ” พ่อบอกลาทิ้งท้าย
“เดินทางปลอดภัยนะคะพ่อ” เมื่อรู้ว่าช่วงที่กลับบ้านจะไม่ต้องเจอหน้ามีนาก็ทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยเธอจะได้มีเวลาคิดมากขึ้นว่าจะรับมือกับผู้หญิงคนนั้นอย่างไร
คุณมานิษหอมแก้มลูกสาวตัวน้อยของเขาอีกครั้งก่อนจะชวนภรรยากลับไป
“คุณมารีไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะคะ”
“อือ” มารีพยักหน้าให้นุช คงมีแค่ตอนที่อยู่กับนุชนี่แหละที่ทำให้มารีรู้สึกสบายใจที่สุด อย่างน้อยก็เป็นคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอมาทั้งชีวิต ชาติก่อนเวลาที่เธอโดดเดี่ยวเพราะปริญไม่ยอมกลับบ้านก็มีแต่นุชที่คอยปลอบ เธอเศร้าที่แต่งงานกับผู้ชายคนนั้นมาเกือบยี่สิบปีก็ยังไม่มีลูกเสียทีก็มีแต่นุชที่ให้กำลังใจ
“นุช...ขอกอดหน่อยได้ไหม” คนป่วยพูดทั้งยังอ้าแขนรอ
“อะไรกันคะเนี่ยคุณมารี” นุชมองคนที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายอย่างขัดเขินแต่ก็เดินเข้ามาให้อีกฝ่ายโอบกอดรอบเอวอวบ ใบหน้ากลมแดงซ่านเมื่อคนเป็นเจ้านายวางศีรษะที่หน้าท้องของเธอ
“ขอบคุณนะนุช ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย”
นุชหัวเราะคิกด้วยความจั๊กจี้ เมื่อคุณมารีรัดเอวเธอแน่นกว่าเดิม เธอไม่ได้ถามอะไรคนเป็นเจ้านายมากกว่านั้นเพราะคิดเองว่าที่อีกฝ่ายขอบคุณหมายถึงเรื่องที่เธออยู่เฝ้าที่โรงพยาบาล