ตอนที่ 5 หัวกระไดไม่แห้ง
ตื่นมาในเช้าวันใหม่มันหอมรีบลุกขึ้นไปนึ่งข้าวให้แม่ จากนั้นก็วกกลับเข้ามาในห้องของตนเพื่อส่องกระจกอีกครั้ง
“ช่างงามจริง ๆ” มันหอมอดไม่ได้ที่จะพูดกับตัวเอง เธอรู้ว่ามันหอมคนก่อนเป็นคนขี้เกียจทำงานทำการ ขึ้นเขาหาของป่าก็นับครั้งได้ ทุกวันเธอขยันอยู่เรื่องเดียวคือไปสืบเสาะหาสมุนไพรเสริมความงามจากพ่อเฒ่าเพื่อมาประทินผิวตัวเอง เธอเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่อายุสิบสี่ตอนนี้เธอจึงกลายเป็นหญิงสาวที่มีผิวสวยที่สุดในหมู่บ้าน อีกทั้งหน้าตาเธอยังจิ้มลิ้มพริ้มเพราโดดเด่นกว่าใคร
มันหอมลูบไล้แขนขาและใบหน้าตัวเองอย่างพึงพอใจ ชาติที่แล้วถึงเธอจะเป็นผู้หญิง แต่เธอก็ไม่มีเวลาดูแลตัวเองขนาดนี้ เจ้าของร่างนี้ช่างอดทนกับเรื่องความสวยความงามจริง ๆ ทั้งภายนอกภายในเธอดูแลดีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง มันหอมยิ้มให้กับตัวเอง “นับว่าที่เธอทำไปไม่สูญเปล่านะหอม”
บุษบงงัวเงียตื่นขึ้นมาเห็นพี่สาวยืนหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่หน้ากระจกจึงเอ่ยถาม “พี่หอมเป็นอะไรคะ” ทุกวันไม่เคยเห็นพี่สาวตื่นขึ้นมาส่องกระจกแต่เช้าขนาดนี้
มันหอมสะดุ้งเล็กน้อยหันมายิ้มแห้งให้น้องสาว “เปล่าจ้ะ พี่ไปดูหม้อข้าวก่อนนะ”
มันหอมเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี บุษบงยังงงงัน พี่สาวไม่เคยตื่นเช้า และยิ่งไม่เคยนึ่งข้าว เธอเหวี่ยงผ้าห่มออกจากร่าง พลันคิ้วก็ย่นเข้าหากัน มองไปยังที่นอนของพี่สาว เอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มที่พับไว้อย่างเรียบร้อยขึ้นมาดู จึงรู้ว่าเมื่อคืนนี้พี่สาวยกผ้าห่มให้ตนอีกผืน
แปลกมาก คนที่เห็นแก่ตัวและหวงของอย่างมันหอมจะเสียสละผ้าห่มให้น้องสาว ที่ไม่ค่อยถูกกันได้อย่างไร
ตอนสายมันหอมเดินออกไปชมทุ่งข้าวของตัวเองที่น่าจะมีอยู่เพียงสามไร่ นอกนั้นเป็นทุ่งหญ้าที่ออกดอกหลากสี บางต้นดอกกำลังโรย บางต้นกำลังแห้งตาย สายตากวาดมองไปยังน้องชายที่กำลังผูกควายสองตัวไว้กับตอไม้เพื่อให้มันได้กินหญ้า ควายสองตัวนั้นชื่อไอ้รุ่งกับไอ้เรืองเป็นควายตัวผู้ทั้งคู่
เธอถือโอกาสยืนมองไปรอบ ๆ บ้านของตัวเองอีกครั้ง บ้านไม้ที่ชาวบ้านปลูกไว้ค่อนข้างห่างกัน รอบ ๆ บ้านของแต่ละครอบครัวเต็มไปด้วยทุ่งหญ้า ทุ่งข้าวที่เมล็ดเริ่มเป็นสีเหลือง ลมโชยมาแต่ละทีพัดเอากลิ่นหอมของข้าวใหม่เข้ามาพาให้ชื่นใจ อีกไม่ถึงสิบวันก็คงได้เก็บเกี่ยว มีวัว มีควาย ที่ชาวบ้านล่ามไว้ไม่มากนัก ยืนเล็มหญ้าอยู่ตามทุ่งกว้าง เห็นวิถีชีวิตแบบนี้แล้วก็ทำให้รู้สึกเบิกบานใจ แต่ปากท้องของคนในหมู่บ้านกลับค่อนข้างลำบากเล็กน้อย
เธอเดินกลับขึ้นไปบนเรือนเพื่อดูผู้ชายคนนั้น เขายังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ไม่รู้เป็นคนบ้านไหน ป่านนี้พ่อแม่คงตามหากันให้วุ่น
“มาลา” เสียงนั้นดังมาจากด้านล่าง
มาลาแย้มใบหน้าออกมาดู “อาจัน”
“ฉันเอง… ฉันเอาลาบกระต่ายมาให้ และต้มมันมือเสือใส่น้ำตาลมาฝาก”
“ขอบคุณมากค่ะ” มาลาเดินลงไปรับตะกร้ากับมือจันทรา
“ไม่ต้องเกรงใจ” คนในหมู่บ้านก็เป็นเช่นนี้ มีอะไรก็แบ่งปัน เมื่อวานเธอรู้ข่าวจากสามีว่ามันหอมไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเพราะช่วยชีวิตคนผู้นั้นไว้ เธอจึงเอาลาบกระต่ายมาฝากถ้วยใหญ่ และต้มมันป่าอีกหนึ่งหม้อเล็ก ถึงจะรู้ว่ามันหอมเป็นคนค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่ชอบแบ่งปัน และไม่สนใจคนในหมู่บ้านเท่าที่ควร แต่สมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ก็ดีหมด เรื่องนี้เธอจึงไม่ถือสา และไม่รู้ว่านิสัยผิดแผกจากคนในครอบครัวนี้มันหอมได้แต่ใดมา แต่คนในหมู่บ้านก็นึกปลง กระทั่งมันหอมสวยจนหยดย้อยก็ไม่มีใครอยากได้ไปเป็นสะใภ้ เพราะไม่มีใครอยากได้ลูกสะใภ้ขี้เกียจ และคงไม่มีสามีคนไหนที่อยากได้ภรรยาที่จะต้องเลี้ยงดูไปตลอดชีวิต เพราะกว่าคนหนึ่งจะร่วงโรยไปตามวัยก็ปาเข้าไปหกสิบเจ็ดสิบปี นับดูแล้วใครที่ได้มันหอมไปร่วมบ้านคงต้องทรมานไม่น้อย
“แล้วหอมเป็นยังไงบ้าง” เมื่อวานมีเพียงสามีแวะเวียนมาดู ส่วนเธอยังไม่มีเวลาปลีกตัวมา
“ขึ้นมาข้างบนก่อนสิคะ” มาลาบอกจันทรา จันทราเดินตามขึ้นมาอย่างคุ้นเคย คนในหมู่บ้านร่ำลือกันว่า หนุ่มคนนี้หน้าตาดีนักหนา ใครก็อยากมาเห็นหน้าค่าตา ตั้งแต่มันลงมาจากเขา หัวกระไดยังไม่เคยแห้ง
เดินเข้ามาในบ้านเห็นมันหอมกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ หนุ่มคนนั้นพอดี “เอ็งเป็นยังไงบ้าง”
“กินยาแล้วรู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ” ทั้งที่กลิ้งตกภูเขาลงมาด้วยกัน แต่ผู้ชายคนนี้กลับอาการสาหัสมากกว่าเธอมาก
น้ำเสียงของมันหอมที่กล่าวออกมานุ่มนวลน่าฟังจนจันทรานึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร “แล้วมันล่ะ” จันทรามองไปยังชายคนนั้น เขาหล่อสมคำเล่าลือจริง ๆ ถึงหน้าตาจะมีรอยแผลอยู่บ้าง แต่คงไม่ทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นในภายหลัง สวรรค์ช่างเมตตานัก จะไม่เมตตาก็ตอนที่ได้แต่งงานกับมันหอมนั่นละ ภาวนาให้มันหอมเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังจากมีครอบครัวแล้วก็เป็นพอ
“ฉันก็รอมันฟื้นอยู่เหมือนกัน” มาลาว่า
“น่าสงสารมันนะ” จันทรากล่าว มองมายังมาลา “แต่จะทำยังไงได้ มันตกเขามาเขตของเราแล้ว ก็นับว่าเป็นวาสนา”
“ค่ะ” มาลารับคำเงียบ ๆ เรื่องที่มันหอมต้องแต่งให้ชายแปลกหน้าผู้นี้ คนในหมู่บ้านรู้กันหมด ยกเว้นมันหอมคนเดียวที่ยังไม่ทราบ
จันทราอยู่คุยด้วยอีกสักพักจึงขอตัวกลับ
ห้าคนพ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงรับประทานอาหารเช้ากันอยู่ชานนอกบ้าน มันหอมรู้สึกยินดี ที่ได้มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวแบบนี้สักครั้ง
“หอม” ขุนเดชเอ่ยเสียงทุ้ม พลางมองหน้าลูกสาวที่ทำตัวสงบเสงี่ยมตั้งแต่ลงจากเขาเมื่อวาน
“คะพ่อ” ดวงตาที่มองพ่อยังคงทอแสงสุกสกาวราวกับดวงดาวบนท้องนภา ไม่มีแววขุ่นมัวสักนิด