ตอนที่ 4 นางไม่ใช่มันหอมคนเดิม 2
มณีจันทร์เดินออกมาจากหลังบ้าน ในมือถือยอดตำลึงมาด้วย เห็นสามีกลับมาแล้วจึงถามไถ่ออกไป “เป็นยังไงบ้างเหรอพี่ หอมเป็นอะไรมากไหม” ตอนที่สายน้ำวิ่งมาบอกพ่อเฒ่ายังไม่ได้พูดอะไรมากนัก บอกแค่ว่าให้รีบไปดูคนตกเขาก่อน เธอจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“หอมไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่มันเอาหนุ่มต่างเมืองกลับมาด้วย” มณีจันทร์มีท่าทีตกใจ โสมจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ภรรยาฟัง
เรื่องนี้ถูกเล่าต่อกันไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง คนในหมู่บ้านที่รู้เรื่องของมันหอมกับผู้ชายคนนั้นต่างพากันมาเยี่ยม และพูดกันไปต่าง ๆ นานา ทั้งอยากรู้อยากเห็นทั้งเป็นห่วงเป็นใย คนในหมู่บ้านที่มาเยี่ยมได้คุยกับพ่อแม่และน้องของมันหอมแทน ส่วนเธอนั้นนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง โดยไม่รู้ว่าชาวบ้านพูดถึงตนว่าอย่างไรบ้าง
มันหอมตื่นขึ้นมาอีกครั้งท้องฟ้าก็มืดแล้ว และรู้สึกว่าอากาศค่อนข้างเย็น ภายในห้องมืดสนิทจนต้องมองหาสวิตช์ไฟ พอเข้าใจแล้วจึงร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง
ลืมไปว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้
เธอมองออกไปด้านนอกเห็นแสงไฟจากตะเกียงและเสียงพูดคุยกันดังแว่วเข้ามา จึงเดินออกมาอย่างเงียบ ๆ
มาลาเหลือบไปเห็นลูกสาวเดินออกมาจึงถามออกไป “ตื่นแล้วเหรอ”
“ค่ะแม่”
“ปวดหัวหรือเปล่า”
“นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นก็ดี มากินข้าวเถอะ”
ด้านหน้ามีแกงเห็ดสองถ้วย และช้อนคนละหนึ่งคัน กับข้าวเหนียวสามกระติบ “พ่อกับแม่ไปเก็บเห็ดมาเหรอคะ” เธอรู้สึกผิดนิด ๆ ที่เก็บเห็ดได้มากมายแต่ไม่สามารถนำกลับมาได้
“ไม่ใช่หรอก นี่เป็นเห็ดตากแห้งที่เราเก็บไว้ต่างหากล่ะ”
“อ้อ” มันหอมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ชาวบ้านที่นี่จะเก็บเห็ดมานึ่งไว้แล้วตากแห้ง ถึงยามหน้าแล้งก็จะนำออกมาทำอาหาร
“พี่หอมกินข้าวเยอะ ๆ นะ จะได้หายเร็ว ๆ” บุษบงกล่าว
มันหอมยิ้มให้น้องสาวอย่างที่ไม่เคยทำแล้วเอ่ยเบา ๆ “ได้ บุษก็กินให้มากจะได้โตเร็ว ๆ” น้องชายของเธออายุสิบเจ็ด ส่วนน้องสาวอายุสิบสองซึ่งตัวเล็กกว่าเธอค่อนข้างมาก
บุษบงยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อพี่สาวยอมคุยดีด้วยสักที
“พรุ่งนี้พี่จะขึ้นเขาอีก บุษกับสายไปกับพี่ไหม” มันหอมหันไปถามน้องชายน้องสาว
“พี่แน่ใจเหรอ” สายน้ำแทบไม่เชื่อหูที่เธอจะยอมให้น้องขึ้นเขาไปด้วย
“อืม… แน่ใจ” มันหอมว่า “เมื่อเช้าฉันเก็บเห็ดได้มาก แต่ตกเขาเสียก่อนจึงไม่ได้เอาเห็ดกลับมาด้วย”
“แต่ว่า… ฉันกลัวเสือ” บุษบงมีสีหน้าเป็นกังวล เพราะเรื่องราวที่พี่สาวเล่าให้ฟังช่างน่ากลัวนัก
“ไม่เป็นไร พ่อจะไปกับพวกเอ็งด้วย” ขุนเดชกล่าวและหันไปพูดกับภรรยา “ส่วนเอ็ง อยู่ดูแลมันก็แล้วกัน เผื่อมันตื่นขึ้นมาจะไม่เจอใคร” อีกทั้งต้องมีคนคอยป้อนน้ำ ป้อนยา และน้ำข้าวต้มให้แก่ชายแปลกหน้าด้วย อย่างไรก็ต้องมีคนอยู่เรือน
“ให้ฉันไปแทนหอมไม่ดีกว่าเหรอ หอมยังบาดเจ็บอยู่นะ” มาลาเป็นห่วงลูก สำหรับเธอ มันหอมไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น
“เอายังไง” ขุนเดชถามมันหอมอีกครั้ง
“ให้ฉันไปดีกว่าแม่ ฉันไม่เป็นอะไรมากแล้ว อีกอย่างฉันรู้ที่เก็บเห็ดด้วย”
“อือ พรุ่งนี้ผู้ใหญ่กับพ่อเฒ่าจะไปตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วย ยังไงหอมก็ต้องไปด้วย”
“อย่างนั้นก็ได้”
“วันนี้ฉันจะช่วยแม่ป้อนยาให้เขา”
“ตามใจเอ็งเถอะ” ให้มันหอมได้เรียนรู้การปรนนิบัติเขาก็ดี ถึงเธอจะไม่เคยปฏิบัติกับใครก็ตาม เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากยิ่งนัก อนาคตยังต้องแต่งเป็นภรรยาให้แก่มัน
รับประทานอาหารร่วมกันเสร็จมันหอมช่วยน้องสาวกับแม่เก็บถ้วยชามและปัดกวาดพื้นเรือนให้เรียบร้อย เรื่องนี้เธอก็ไม่เคยทำเช่นกัน ปกติกินแล้วเธอก็เข้านอนไม่สนใจเก็บจานชาม สายน้ำที่นั่งอยู่ข้างพ่อขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “พ่อกำลังคิดเหมือนผมหรือเปล่า”
“เรื่องพี่สาวเอ็งน่ะเหรอ”
“ครับ”
ขุนเดชไม่ได้ตอบลูกชาย ปรายตามองพ่อหนุ่มปริศนาคนนั้นแล้วเดินลงเรือนไปสูบบุหรี่ หากเจอกับพ่อเฒ่าอีกเขาจะถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง คนเราอยู่ด้วยกันมาเกือบยี่สิบปี มีการเปลี่ยนแปลงเพียงนิดก็สัมผัสได้แล้ว
มาลาและบุษบงมองดูมันหอมปรนนิบัติชายหนุ่มที่ยังนอนเป็นเจ้าชายนิทราด้วยแววตาตกตะลึง มันหอมมีท่วงท่าคล่องแคล่วคล้ายกับว่าเคยทำอย่างนี้กับคนอื่นมาก่อนจนเกิดความชำนาญ ทั้งที่ความจริงเธอไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อน แม้แต่ตัวเองบาดเจ็บก็ร้องไห้สำออยให้คนในครอบครัวดูแลทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ถือว่าเธอเจ็บหนักกว่าครั้งที่ผ่านมา แต่เสียงร้องสักแอะพวกเขาก็ไม่ได้ยินจากปากเธอ แถมยังดูแลคนอื่นเป็นอย่างดี
เสร็จแล้วมันหอมจึงช่วยแม่กางมุ้งให้เขา แล้วขอตัวเข้านอน การดูแลคนป่วยแค่นี้เรื่องเล็กน้อยมาก เพราะเธอเคยดูแลยายที่ป่วยติดเตียงมาก่อน ก่อนที่ยายจะจากไปและทิ้งให้เธออยู่เพียงลำพัง และเธอก็เกิดอุบัติเหตุตายตามอย่างโดดเดี่ยว แต่เธอก็ไม่ได้เศร้าอะไรหรอก เกิดมาคนเดียว ตายคนเดียวย่อมไม่แตกต่าง ก่อนตายก็อายุสามสิบห้าแล้ว ผ่านประสบการณ์มาก็มาก เรื่องเกิดแก่เจ็บตายเธอย่อมปลงตก
ให้หลังพี่สาวบุษบงจึงกล่าวกับแม่เสียงเบา “เหตุใด พี่หอมถึงเปลี่ยนไปมาก”
มาลากลอกตาพลางคิด ถึงจะเห็นด้วยกับลูกสาวแต่เธอก็ไม่ได้ออกความเห็นเรื่องนี้ “เอ็งไปนอนเถอะ อย่าคิดมากเลย” ปลอบลูกแต่ตัวเองกลับเป็นฝ่ายคิดเอง
“จ้ะ” ไม่ว่ามันหอมจะเปลี่ยนไปอย่างไร เธอก็ยังเป็นพี่สาว บุษบงอายุเพียงสิบสองปีย่อมไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก
น้องสาวหลับไปแล้วแต่มันหอมยังนอนเอามือก่ายหน้าผากกลอกตาไปมา ช่วงกลางวันเธอหลับสนิทไปหลายชั่วโมง คงชดเชยที่ทำงานอย่างหนักโดยไม่ได้พักมาหลายวันจากโลกเดิม ตอนนี้จะหลับก็ยากอยู่สักหน่อย หรือเป็นเพราะเธอมีเรื่องให้คิดก็สุดรู้ ถึงจะสับสนกับตัวเองแค่ไหนแต่เธอก็ต้องปรับตัวอยู่ในหมู่บ้านนี้ให้ได้ เพราะตัวเองยังไม่ทราบว่าอยู่ส่วนไหนของประเทศ และมีด้วยหรือคนที่ตายแล้วไม่ได้กลายเป็นผีเสมอไป
เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าทำให้เธอได้สติอีกครั้ง
แสงไฟจากตะเกียงด้านนอกที่จุดไว้ให้พ่อหนุ่มคนนั้นสาดส่องเข้ามาในห้องรำไร ทำให้มองเห็นร่างเล็ก ๆ ที่นอนขดอยู่ข้าง ๆ อากาศตอนกลางคืนเริ่มหนาวเย็นทำให้ผ้าห่มของบุษบงที่มีอยู่สองผืนบาง ๆ ที่ทำจากผ้าฝ้ายไม่เพียงพอ มันหอมลุกขึ้นแบ่งผ้าห่มของตนให้น้องอีกหนึ่งผืน อุณหภูมิประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่องศาเซลเซียสเธอยังพอทนได้ แต่อนาคตเธอต้องหาผ้าห่มมาเพิ่ม