ตอนที่ 2 หมู่บ้านไพรพนา
เธอนั่งนิ่งสักพักและเพิ่งเข้าใจความจริงทุกอย่าง ความจริงที่ว่าเธอได้ตายจากโลกเดิมมาแล้ว เธอกวาดสายตามองไปรอบตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มคนที่ฉุดดึงเธอวิ่งหนีเสือมาด้วยกันกับเจ้าของร่างนี้ยังนอนสลบอยู่ถัดขึ้นไปจากเธอ ศีรษะของเขายังแนบอยู่บนก้อนหิน ซึ่งเป็นก้อนเดียวกันกับที่ศีรษะเธอกระแทกเข้าไป ขาข้างซ้ายของเขายังติดอยู่ซอกต้นไม้สองต้น และดูเหมือนว่ามันจะผิดรูปไป เธอเข้าใจในทันทีว่าขาข้างนั้นของเขาหักเสียแล้ว
ยังไม่มีเวลาไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้นดี มันหอมคนใหม่ตัดสินใจลุกขึ้นไปช่วยเขาทันที เธออุ้มผู้ชายตัวโตออกมาวางไว้บนพื้นราบ มองหาสมุนไพรในความทรงจำเดิมที่พ่อเคยสอนเพื่อห้ามเลือดที่ศีรษะของเธอและเขา จากนั้นนำไม้มาดามขาข้างที่หัก ระหว่างนั้นคนที่นอนไม่ได้สติก็ลืมตาสะลืมสะลือขึ้นมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยดวงตาพร่าเลือน เขารู้เพียงว่าผู้หญิงที่กำลังทำอะไรอยู่กับขาของเขาหน้าตางดงามนัก หลังจากนั้นก็สลบไปอีกครั้ง
มันหอมแบกเขากลับหมู่บ้านตามความจำเดิมที่มีอยู่ทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าการกระทำครั้งนี้จะนำพาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ชีวิตเธอไปตลอดกาล
คนตัวเล็กแบกร่างชายแปลกหน้าที่บาดเจ็บไม่ได้สติทั้งเดินทั้งวิ่งมาตามทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มองเห็นบ้านของตัวเองอยู่ไกล ๆ รอยยิ้มจึงผุดขึ้นมาได้ ดวงหน้าขาวเนียนเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตหลั่งไหลออกมาไม่หยุด แต่เธอไม่มีเวลาสนใจมัน
เธอก้าวขาขึ้นบันไดบ้านด้วยความว่องไว พ่อกับแม่และน้องอีกสองคนเข้ามารุมล้อมด้วยความตกใจเมื่อเห็นมันหอมแบกผู้ชายร่างใหญ่กว่าตัวเองลงมาจากเขา ตะกร้าไม้ไผ่สานกับมีดที่นำขึ้นเขาไปเมื่อเช้าไม่ได้นำกลับมาด้วย พ่อกับแม่กำลังเตรียมตัวจะเข้าป่าเพื่อไปตามหาลูกสาว เพราะชาวบ้านที่กลับมาก่อนบอกว่าสงสัยมันหอมจะหลงป่า ตะโกนเรียกหาจนทั่วแล้วก็ไม่ส่งเสียงตอบกลับ พวกเขาจึงลงเขากลับมาก่อน เพื่อมาบอกผู้ใหญ่บ้านและพ่อเฒ่าให้คนไปช่วยกันค้นหา ให้เข้าป่าครั้งเดียวก็เกิดเรื่องเสียแล้ว แต่บัดนี้มันหอมกลับมาแล้วก็เป็นเรื่องดี เพียงแต่ปัญหาในตอนนี้คือเธอนำบุรุษแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านด้วย
มันหอมวางร่างชายแปลกหน้าผู้นั้นลงบนเสื่อที่ชานบ้านอย่างแผ่วเบา
สามีภรรยาหันมองหน้ากันด้วยความลำบากใจ ถึงจะประหลาดใจกับลูกสาวที่แบกชายตัวโตคนนี้ลงมาจากภูเขาได้แต่เขาก็เก็บงำเอาไว้ก่อน เอ่ยถามเรื่องที่สำคัญกว่านั้นทันที
“เกิดอะไรขึ้น” สภาพของทั้งสองมอมแมม บนศีรษะของคนทั้งคู่มีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่เล็กน้อยคล้ายกับมีคราบยาสมุนไพรแปะไว้เพื่อห้ามเลือด ขาข้างซ้ายของชายผู้นั้นมีไม้ไผ่ดาม แสดงว่าสิ่งที่เขาเคยสอนไว้ มันไม่ได้สูญเปล่า
มันหอมเงยหน้ามองทุกคนที่จ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว “เอ่อคือ…ผู้ชายคนนี้เขาวิ่งหนีเสือผ่านมาทางที่ฉันกำลังเก็บเห็ดอยู่พอดี เขาก็เลยฉุดฉันวิ่งหนีเสือมาด้วยกัน แล้วก็… ตกเขามาด้วยกันจนหัวแตกแบบนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นหนักกว่า” มันหอมบอกทุกคนพร้อมกับมองไปที่ร่างของชายคนนั้น
ขุนเดชคิ้วขมวดเอื้อมมือไปอังจมูกชายปริศนาคนนั้น “ยังไม่ตาย”
“แล้วเอ็งแบกมาได้ยังไง ตัวเขาออกใหญ่โตขนาดนี้” มาลาผู้เป็นมารดาถามบุตรสาวที่มีร่างกายบอบบางและสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซ็นติเมตรเท่านั้น แต่พ่อหนุ่มคนที่นอนสลบไสลอยู่นี้น่าจะสูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรเป็นแน่
“เอ่อ… ฉันก็ไม่รู้หมือนกัน อาจเป็นเพราะฉันคงตกใจมากไปหน่อย” เธอตกใจจนลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่เธออุ้มผู้ชายคนนี้ เธอทำได้อย่างสบายราวกับเขาเป็นเพียงปุยนุ่นกระสอบหนึ่ง
“น่าจะไม่ใช่คนในหุบเขาพญาคีรี” ขุนเดชพึมพำออกมาหัวคิ้วเดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลายอยู่เช่นนั้น รูปร่างหน้าตาและผิวพรรณผ่องแผ้วราวสตรีผู้หนึ่ง เขาหยุดความสงสัยในตัวลูกสาวและชายคนนี้ไว้ก่อน หันไปสั่งลูกชายคนรอง “สายไปตามผู้ใหญ่บ้านกับพ่อเฒ่าขวานมาที่นี่ที”
“ครับพ่อ” สายน้ำรับคำและวิ่งจากไปโดยด่วน
ขุนเดชหันไปสั่งการภรรยากับลูกสาวคนเล็กอีกครั้ง “เอ็งกับบุษไปก่อไฟเตรียมต้มน้ำไว้ให้พ่อเฒ่าเถอะ”
“จ้ะ”
ขุนเดชมองลูกสาวคนโตจอมขี้เกียจที่ยังนั่งคุกเข่ามองชายตรงหน้าตาไม่กะพริบด้วยความรู้สึกชื่นชมปนแปลกใจ ที่วันนี้เธอมีน้ำใจแบกชายบาดเจ็บที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ากลับมาบ้าน ทั้งที่ก่อนหน้าเธอไม่เคยสนใจผู้คนรอบข้างด้วยซ้ำว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ยิ่งไม่มีทางที่จะแบกของหนักกลับมาให้ลำบากตัวเอง “เอ็งก็ไปล้างตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและกินข้าวกินปลาเสียเถอะ พ่อเฒ่ามาถึงเขาจะได้ทำแผลให้”
“ค่ะพ่อ”
ขุนเดชมองตามหลังลูกสาวด้วยแววตาฉงน เหตุใดสำเนียงการพูดการจาของลูกสาวถึงแปลกไปจากคนที่นี่
เมื่ออยู่เพียงลำพัง ดวงตากลมกวาดมองไปรอบบริเวณด้านในบ้านของตัวเองอีกครั้ง บ้านทำจากไม้กระดานที่ไม่ได้เรียบมากนัก ทั้งผนังและพื้นบ้านย่อมปูไม่สนิท ทำให้มีแสงลอดผ่านเข้ามาได้ บ้านหลังนี้มีสามห้องนอน แต่ละห้องมีผนังที่ทำจากไม้ไผ่สานกั้นไว้ และเพื่อให้มันแข็งแรงจึงยาแนวด้วยยางไม้จากต้นเต็ง ต้นยางและต้นพลวงรวมกันอีกครั้ง มีหนึ่งห้องโถง และมีชานที่ยื่นออกไปด้านหน้าอีกหนึ่งห้องใหญ่ ด้านข้างเป็นห้องครัว หลังคาบ้านมุงด้วยหญ้าคา
สายตาจับจ้องที่ปฏิทินบนเสากลางบ้าน มุมปากค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ เมื่อเห็นรูปภาพบนปฏิทินที่แขวนอยู่ยังเป็นพระบรมพระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า ไล่สายตาลงมาจึงเห็นเป็นปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยสี่สิบเก้า ถึงจะย้อนกลับมาในอดีต แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ในประเทศไทย หมู่บ้านไพรพนาเป็นหมู่บ้านอาถรรพ์ที่มีมนต์พรางตาบดบังไว้ คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นทางเข้า พวกเขาจึงไม่อาจเข้ามายังหมู่บ้านนี้ได้