บท
ตั้งค่า

บทที่ 1-2 จุดเริ่มต้น

เย่หลิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หน้าชาไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบเดินกลับเรือนของตนไป เมื่อกลับมาถึงห้องนางก็ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น นางผิดหรือที่นางเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ ผู้ใดจะเลือกเกิดได้กัน เหตุใดพี่สาวจะต้องมาต่อว่านางเช่นนี้ด้วย

นับแต่เล็กจนโต ท่านแม่ก็เฉยชาต่อนาง แม้จะไม่เคยต่อว่าหรือทุบตี แต่กลับไม่ได้แสดงความรักฉันท์แม่ลูกกับนางเท่าที่ควร นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่ามันเกิดจากสาเหตุใด

ไม่นานเวลาล่วงมาถึงวันที่จวนองค์ชายใหญ่จัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งคังอ๋อง จวนองค์ชายใหญ่ค่อนข้างคึกคักไม่น้อยเลย อีกทั้งฮ่องเต้และหนิงฮองเฮาเองก็เสด็จมาร่วมงานด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบกลับเข้าวังหลวงเพราะไม่อาจอยู่นานได้ ผู้คนต่างเล่าลือกันไปต่างๆนาๆว่า ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับองค์ชายใหญ่ถึงเพียงนี้ เห็นทีตำแหน่งองค์รัชทายาทคงจะไม่ไกลเสียแล้ว อีกทั้งในบรรดาองค์ชายทั้งสามคนนั้น มีเพียงองค์ชายใหญ่ที่ได้ตำแหน่งอ๋องก่อนผู้ใด ทุกอย่างล้วนได้มาเพราะความปรีชาสามารถของตนเองทั้งสิ้น

เย่หลีมองฟ่านหลิ่นที่ยามนี้กำลังสนทนากับขุนนางผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานด้วยแวบหนึ่ง ปีนี้เขาอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว นางพึงใจในตัวเขามาก หากได้แต่งกับเขาจริงๆ อำนาจมากมายล้วนอยู่ในกำมือ นางจะได้อยู่เหนือสตรีทั้งใต้หล้า มีเกียรติอำนาจไม่มีที่สิ้นสุด

เย่หลียกยิ้มมุมปาก ใกล้จะถึงกำหนดวันคัดเลือกพระชายาเอกของคังอ๋องแล้ว นางรอมานานแล้ว อีกไม่นานความฝันของนางก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

เย่หลีเดินตามบิดาของตนไปมอบของขวัญให้กับฟ่านหลิ่น นางมองเขาด้วยสีหน้าแววตาชื่นชม ฟ่านหลิ่นเองก็แย้มยิ้มให้นางเช่นเดียวกัน ทว่าเขากลับมิได้มีท่าทีสนใจในตัวนางเท่าที่นางวาดหวังเอาไว้ เย่หลีค่อนข้างไม่พอใจเท่าใดนัก แต่นางยังไม่ละความพยายาม นางเชื่อว่าในใต้หล้านี้่ย่อมไม่มีสตรีใดคู่ควรกับเขาเท่านางอีกแล้ว

ฟ่านหลิ่นรับของขวัญจากแม่ทัพใหญ่เย่ ดวงตาคมสีนิลของเขามองเลยผ่านเย่หลีไป ก่อนจะหันมาทักทายแม่ทัพใหญ่เย่

"ได้ยินว่าท่านแม่ทัพใหญ่เย่จะมาร่วมงาน ข้าดีใจยิ่งนัก เมื่อครู่เย่จิ้นอันมาทักทายข้าแล้ว เขานับวันจะเก่งกาจไม่ต่างจากท่าน จะต้องเป็นกำลังสำคัญให้บ้านเมืองได้แน่นอน ว่าแต่วันนี้ท่านมิได้พาบุตรสาวคนรองมาด้วยหรือ"

แม่ทัพใหญ่เย่ชะงักไปชั่วขณะ เขาเหลือบมองเย่หลีครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มให้ฟ่านหลิ่น แล้วจึงเอ่ยตอบ

"ทูลคังอ๋อง นางเป็นเพียงบุตรอนุ จึงไม่อาจจะมาร่วมงานเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ วันนี้กระหม่อมจึงพามาเพียงเย่จิ้นอันและเย่หลีบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก"

"อืม เป็นเช่นนี้เอง ข้าลืมไปเลยว่าเมืองหลวงแคว้นซ่งของเรามีกฎระเบียบเช่นนี้อยู่ ช่างเถิด เชิญท่านดื่มสุรากินอาหารอย่างสบายใจ ข้าจะไปทักทายสนทนากับขุนนางผู้ใหญ่คนอื่นๆ เสียหน่อย"

"ขอบพระทัยคังอ๋อง"

เมื่อฟ่านหลิ่นเดินจากไปแล้ว เย่หลีก็รู้สึกว่าในใจไม่สงบเท่าใดนัก ในหัวนางมีแต่คำถามเต็มไปหมด นางยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่เขากลับมองเลยผ่านนางไปและถามถึงเย่หลิง คำพูดที่แฝงนัยเหมือนว่าคนทั้งสองรู้จักกันเคยพบเจอกันนั่นคือสิ่งใดกันแน่

เย่หลิงแทบจะไม่ได้ก้าวเท้าออกจากจวนตระกูลเย่ แล้วจะเคยพบเจอกับฟ่านหลิ่นได้เช่นไรกัน

ยิ่งคิดเย่หลีก็ยิ่งกระวนกระวายใจ อยากจะกลับจวนไปเค้นถามน้องสาวตัวดีผู้นั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด

งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป มีเหล่าเชื้อพระวงศ์องค์ชายและผู้สูงศักดิ์มาร่วมงานกันมากมาย ในนี้มีองค์ชายรองฟ่านเฉิน และองค์ชายสามฟ่านจิ้งรวมอยู่ด้วย ทว่าเย่หลีกลับมิได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก

ในอีกด้านหนึ่งไม่ไกลนัก ศาลารับลมซึ่งเป็นสถานที่ที่บุรุษใช้ดื่มสุราชมสาวงาม ฟ่านเฉินและฟ่านจิ้งกำลังมองมาที่เย่หลีด้วยแววตาที่ล้ำลึก

องค์ชายรองฟ่านเฉินปีนี้มีอายุครบสิบเก้าปีเต็มแล้ว ส่วนฟ่านจิ้งก็มีอายุสิบเจ็ดปี คนทั้งสองอายุไล่เลี่ยกัน มารดาของพวกเขาก็คือสวีกุ้ยเฟย

ฟ่านจิ้งยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟ่านเฉิน

"พี่รองท่านดูบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่เย่สิ ช่างงดงามยิ่งนัก หากได้แต่งกับนางก็เท่ากับได้กองทัพตระกูลเย่มาอยู่ในกำมือแล้วครึ่งหนึ่ง ง่ายต่อการต่อกรกับพี่ใหญ่ ท่านว่าใช่หรือไม่"

ฟ่านเฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ช้อนสายตามองไปยังสตรีที่มีนามว่าเย่หลีผู้นั้น ใบหน้าของนางงดงาม ผิวพรรณขาวเนียนราวหิมะ ท่วงท่าก็งดงามน่ามอง แต่ทว่าดวงตากลับเย็นชาและไม่ไยดีต่อสิ่งใด

ไม่พบกันเสียนาน ผ่านมาร่วมหลายปีนางเติบโตเป็นสตรีที่งดงามเฉิดฉายกระจ่างตา

นางงดงามมากจริงๆ

สตรีที่งดงามเช่นนี้ไม่เหมาะที่ใช้เป็นหมากบนกระดาน มันอันตรายเกินไป!

เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ละสายตาจากนาง ก่อนจะยกจอกสุราขึ้นดื่ม ฟ่านจิ้งที่เห็นว่าพี่ชายดูเหมือนจะไม่สนใจก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก

จวบจนงานเลี้ยงเลิกรา คนทั้งหมดจึงแยกย้ายกันกลับจวน ก่อนกลับฟ่านเฉินอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่หลีอีกคราหนึ่ง ใบหน้างดงามของนางไม่มีบุรุษใดจะไม่เหลียวมอง เขาเองก็เป็นบุรุษย่อมพึงใจในสิ่งสวยงามตรงหน้า

เมื่อกลับมาถึงจวน เย่หลีก็ตรงไปหาเย่หลิงที่เรือนของอนุซ่งทันที เย่หลิงนั้นนางรู้ตัวดีว่าตนเป็นเพียงบุตรของอนุ ย่อมไม่อาจพาไปเชิดหน้าชูตาได้ และนางก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจ เพียงเพราะไม่ได้ไปร่วมงานและไม่ได้พบเจอกับเขาคนนั้น

เขาผู้นั้นคือฟ่านหลิ่นองค์ชายใหญ่ของแคว้นซ่ง ยามนี้มีตำแหน่งเป็นถึงคังอ๋องผู้สูงส่ง เขาและนางพบกันโดยบังเอิญ ตอนนั้นนางไปไหว้พระกับมารดา

วัดบนเขาบรรยากาศดีนางจึงออกไปเดินเล่นรับลม รู้ตัวอีกคราก็เดินเข้ามาถึงป่าลึกแล้วจึงคิดจะเดินกลับ แต่กลับพบฟ่านหลิ่นที่ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลอบทำร้าย นางช่วยเขา คนทั้งสองพากันหลบหนีจากคนที่ลอบฆ่า เขากล่าวขอบคุณนางและถามซื่อแซ่ของนาง ยามนั้นนางไม่รู้ว่าเขาคือใคร

ภายหลังนางก็กลับจวน แต่ทว่าทุกวันยามเช้ากลับพบว่ามีกระดาษแผ่นน้อยมาวางเอาไว้ตรงหน้าต่างห้องนอนทุกเช้า นางแปลกใจมาก ไม่นานก็พบว่าเป็นฟ่านหลิ่นนั่นเอง เขาตามหานางจนพบ หลังจากนั้นเขาและนางก็ได้พบกันอีกหลายครั้ง จนกระทั่งเกิดเป็นความรู้สึกดีที่มีต่อกัน

นางรู้ว่าตนเองไม่คู่ควรกับเขา แต่เขาสัญญาแล้วว่า จะต้องทำทุกทางให้นางแต่งเข้าจวนคังอ๋องอย่างสมเกียรติที่สุด ขอเพียงให้นางรอเขาก่อน เมื่อคิดถึงเขา นางรู้สึกอบอุ่นและหวานล้ำในใจอยู่เสมอ หญิงสาวหยิบหยกจันทร์เสี้ยวที่ฟ่านหลิ่นมอบให้ขึ้นมาดู ก่อนจะเก็บเอาไว้ที่ใต้หมอนเช่นเดิม นี่เป็นของแทนใจที่เขามอบให้นาง

เย่หลีเดินตรงเข้ามาในเรือน ก่อนจะพบกับอนุซ่งที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ เมื่อเห็นว่านางมา อนุซ่งก็รีบเดินเข้ามาหานางทันที

"คุณหนูใหญ่ ท่านมาด้วยเหตุใด นั่งก่อนเถิด ข้าจะให้คนไปนำขนมและชาอย่างดีมาให้"

เย่หลีปรายตามองอนุซ่งอย่างดูแคลน พลางพูดขึ้นว่า

"อย่าเสนอหน้ามาประจบเอาใจข้า บุตรสาวตัวดีของเจ้าอยู่ที่ใด ไปเรียกมันออกมาพบข้า"

อนุซ่งขมวดคิ้วมุ่น

"หลิงเอ๋อร์ทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจอย่างนั้นหรือ ข้าจะสั่งสอนนางเอง ท่านมานั่งก่อนเถิด"

อนุซ่งยื่นมือมาหมายจะจับมือของเย่หลี แต่นางกลับสะบัดมือออกอย่างรังเกียจ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปด้านในเรือนอย่างถือวิสาสะ เย่หลิงที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็รีบออกมาดู เมื่อเห็นว่าเย่หลีเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่พอใจก็รีบเอ่ยทันที

"พี่สาว โอ๊ย!"

เย่หลิงยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใดก็ถูกเย่หลียกมือฟาดเข้าใส่ใบหน้าอย่างแรงจนนางล้มลง

"นังตัวดี เจ้าไปลอบให้ท่าคังอ๋องตั้งแต่เมื่อใด เขาจึงเอาแต่ถามหาเจ้าเช่นนี้ ทั้งที่อยู่ต่อหน้าข้าแต่เขากลับถามหาแต่เจ้า นังสารเลว!"

"โอ๊ย ข้าเจ็บ"

เย่หลีไม่พูดเปล่า นางเดินเข้ามาตบตีเย่หลิงอย่างไม่ปรานี เย่หลิงไม่กล้าสู้พี่สาวทำได้เพียงร้องไห้ อนุซ่งก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี จึงให้คนไปตามแม่ทัพใหญ่เย่และเย่ฮูหยินมาที่นี่

"หลีเอ๋อร์เจ้าหยุดนะ!"

แม่ทัพใหญ่เย่ที่มาถึงก็ตวาดบุตรสาวอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนจะให้คนไปดึงตัวเย่หลีออกมาจากเย่หลิง เย่ฮูหยินเอ่ยตักเตือนบุตรสาวไปหลายประโยค นางเองไม่ได้รังเกียจหรือแค้นเคืองอะไรสองแม่ลูก บุรุษก็เป็นเช่นนี้เขามากภรรยาก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตราบใดที่อนุเหล่านั้นไม่ล้ำเส้นนางเองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอันใด

เย่หลีหันมามองบิดามารดา รีบอ้าปากฟ้องทันที

"ท่านพ่อท่านแม่ นางสารเลวผู้นี้ลอบให้ท่าคังอ๋อง พวกท่านต้องสั่งสอนนาง เป็นเพียงบุตรอนุคิดจะชูคอมาเสนอหน้า นางไม่คู่ควรกับคังอ๋อง ข้าเท่านั้นที่คู่ควร!"

แม่ทัพใหญ่เย่จ้องมองเย่หลีก่อนจะถอนหายใจยาวๆ แล้วสั่งให้คนไปประคองเย่หลิงขึ้นมา ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเย่หลี

"หลีเอ๋อร์ เจ้าฟังพ่อนะ อีกสามเดือนคังอ๋องจะส่งคนมารับตัวเย่หลิงเข้าจวนองค์ชายใหญ่ในฐานะพระชายารอง แม้จะเป็นบุตรอนุเขาก็ไม่สนใจ เขาผูกสมัครรักใคร่กันมานานแล้ว พ่อผิดเองที่ไม่ได้บอกเจ้า วันใดที่เขาได้เป็นองค์รัชทายาทและขึ้นครองราชย์ เมื่อนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนกฎใหม่ ให้บุตรอนุมีสิทธิ์เท่าเทียมกับบุตรของภรรยาเอก พ่อเองก็ยินดีสนับสนุนเขา"

เย่หลีขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะกรีดร้องอย่างไม่พอใจ

"ไม่จริง! ท่านพ่อนี่ท่านก็รวมหัวกันหลอกข้าหรือ ข้าเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก ท่านควรสนับสนุนข้า เหอะ ก็ได้ ข้าจะยอมให้นางแต่งไปเป็นชายารอง ส่วนข้าต้องเป็นชายาเอก"

"เหลวไหล แต่ไหนแต่ไรแคว้นซ่งมีกฎว่าหากจวนใดมีบุตรสาวสองคน ห้ามแต่งเข้าจวนองค์ชายพร้อมกัน จะต้องแต่งเพียงคนเดียวเท่านั้น เย่หลิงแต่งให้คังอ๋องไปแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถแต่งให้เขาและองค์ชายคนอื่นๆ ได้อีกไม่อย่างนั้นขั้วอำนาจทางการเมืองจะสั่นคลอนตระกูลเย่ของเราจะไม่ปลอดภัย ที่สำคัญคังอ๋องไม่ได้พึงใจในตัวเจ้า เอาเถิด พ่อจะหาสามีที่ดีให้เจ้า ได้ยินว่าบุตรชายของราชครูก็ดีไม่น้อย"

"ไม่! ไม่! ข้าจะแต่งกับคังอ๋องคนเดียวเท่านั้น!"

พูดไม่ทันจบนางก็พุ่งเข้าไปตบตีเย่หลิงอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่เย่ปวดหัวแล้วจึงสั่งให้คนมาลากตัวเย่หลีไปขังเอาไว้ในห้อง รอให้นางใจเย็นลงแล้วค่อยปล่อยตัวออกมา เย่หลีโมโหเป็นอย่างมาก นางเอาโทสะทั้งหมดไปลงกับสาวใช้คนแล้วคนเล่า แต่ทุกคนในบ้านกลับไม่มีใครสนใจนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่เข้าใจว่าเพียงเพราะบุตรที่เกิดจากอนุเพียงคนเดียว เหตุใดท่านพ่อต้องให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนั้นด้วย

วันแล้ววันเล่า เมื่อเห็นว่าแผนลงมือตบตีไม่ได้ผล เย่หลีก็เปลี่ยนแผนใหม่ ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนที่เย่หลิงจะได้แต่งเข้าจวนคังอ๋อง เพราะจะต้องเตรียมงานแต่งและหลายอย่างให้พร้อมสรรพเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้นางต้องหาทางทำให้นังน้องสาวชั่วผู้นี้หายตัวไปเสีย!

ระยะหลังมานี้เย่หลีมักทำตัวดีขึ้น ไม่อาละวาด และบอกว่ายอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว แม่ทัพใหญ่เย่เองก็สงสารบุตรสาวจึงปล่อยนางออกมา ทว่าเย่หลีกลั่นแกล้งเย่หลิงสารพัด จนนางล้มป่วยแทบลุกไม่ขึ้นแต่กลับไม่ตาย

ฟ่านหลิ่นเมื่อรู้ว่านางกลั่นแกล้งน้องสาวก็ส่งคนมาหาเย่หลีบอกว่าต้องการพบนาง เย่หลีคิดว่าเขาคงยอมรับนางแล้ว แต่เขากลับเรียกนางไปต่อว่าและบอกว่าหากเย่หลิงเป็นอันใดไป เขาจะไม่ไว้หน้านางอีก เย่หลีเสียใจเป็นอย่างมาก ทั้งเกลียดชังคนทั้งคู่แต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางพ่ายแพ้อย่างยับเยิน!

เมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางจึงไร้เรี่ยวแรงจะคิดวางแผนทำร้ายเย่หลิงอีก ไม่มีสมองจะไปคิดแผนการใดแล้ว ทุกคราแม้นางจะคิดแผนการสารพัด แต่กลับไม่สำเร็จสักอย่าง ซ้ำยังทำให้เย่หลิงดูน่าสงสารในสายตาของฟ่านหลิ่นมากขึ้นไปอีก นางเศร้าเสียใจยิ่งนัก

วันนี้เย่หลีรู้สึกเบื่อไปหมดอยากผ่อนคลาย นางจึงมาที่หอเซียนสุราเมามายและสั่งสุรามาดื่มหลายต่อหลายจอก หอเซียนสุราเมามายแห่งนี้เป็นหอสุราที่ชนชั้นสูงมักจะเข้ามาดื่มกิน ที่นี่นอกจากจะมีสุราชั้นดีแล้วยังมีนางระบำชั้นยอด อาหารชั้นเลิศ คุ้มกับตั๋วเงินหลายร้อยตำลึงที่จ่ายเข้ามา

ในขณะที่นางกำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางมองดูเหล่านางระบำตรงหน้าที่ร่ายรำด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งส่งเสียงขึ้นมา

"ดื่มคนเดียวไม่สนุกหรอก มิสู้ให้ข้านั่งดื่มด้วยดีหรือไม่"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel