บทที่ 2-1 ร่วมมือ
เย่หลีเมื่อได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบกับบุรุษใบหน้าหล่อเหลาผู้หนึ่ง นางจำได้ว่าเขาคือฟ่านเฉิน องค์ชายรองแห่งแคว้นซ่ง
นางเป็นสตรีชั้นสูง แน่นอนว่าย่อมได้พบเจอหรือรับรู้เรื่องราวของเชื้อพระวงศ์มาไม่น้อย อีกทั้งวันที่ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของคังอ๋อง นางก็ได้พบกับฟ่านเฉินที่นำของขวัญมามอบให้ฟ่านหลิ่น แต่นางมิได้สนใจเขาเท่าใดนัก
นางไม่มีวันสนใจบุรุษคนใดนอกจากฟ่านหลิ่นเท่านั้น องค์ชายอื่นๆ ที่เกิดจากสนมย่อมสู้องค์ชายที่เกิดจากฮองเฮาไม่ได้อยู่แล้ว!
หากจะบอกว่ารูปโฉมขององค์ชายองค์ใดรูปงามที่สุด เหล่าสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวงต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า องค์ชายรองฟ่านเฉินมีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่สุด
แต่หากเอ่ยถึงความฉลาดอบอุ่นใจดี มีคุณธรรม ผู้คนต่างเห็นด้วยว่า องค์ชายใหญ่ฟ่านหลิ่นนั้นมีครบเพียบพร้อมในเรื่องนี้มาก เขาได้ฉายาว่าองค์ชายเทพเซียน เพราะสูงส่งสง่างามและมีคุณธรรมในจิตใจ ส่วนองค์ชายที่ขี้เล่นและเสเพลไม่สนใจสิ่งใดมากที่สุด ก็คือองค์ชายสามฟ่านจิ้ง
องค์ชายสามนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องทางการเมือง วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นจนฮ่องเต้ปวดหัว จึงมองดูคล้ายว่ามีเพียงองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเท่านั้นที่กำลังแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทกันอย่างลับๆ
องค์ชายใหญ่ฟ่านหลิ่นนั้นไม่อยากมีปัญหากับพี่น้อง เขามักทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีหรือคำพูดที่เหน็บแนมจากองค์ชายรองฟ่านเฉิน
แต่องค์ชายรองฟ่านเฉินผู้นี้กลับมีนิสัยชอบเอาชนะ เจ้าคิดเจ้าแค้น ได้ยินว่าเคยมีขันทีทำให้เขาโกรธเกรี้ยว เขาไม่ลังเลที่จะสั่งโบยขันทีผู้นั้นจนตาย นางกำนัลในตำหนักล้วนเป็นนางบำเรอของเขา มีดีเพียงรูปงาม แต่คุณธรรมดีงามในจิตใจกลับเทียบฟ่านหลิ่นไม่ได้เลยแม้แต่ปลายนิ้ว ยิ่งฟ่านหลิ่นเงียบและไม่ตอบโต้มากเท่าใด ฟ่านเฉินก็ยิ่งดูย่ำแย่ในสายตาของเหล่าขุนนางมากขึ้นเท่านั้น
เย่หลีเองก็ฟังเรื่องเหล่านี้มามาก นางไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับฟ่านเฉิน แต่เมื่อคนมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว หากจะทำเมินเฉยก็ย่อมไม่ดีเท่าใดนัก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นทำความเคารพเขาแต่เพราะว่านางดื่มจนเริ่มมึนเมาบ้างแล้ว จึงทำให้เซถลาเข้าไปในอ้อมกอดของเขา หญิงสาวรีบผละออก พลางกล่าวว่า
"ขายหน้าองค์ชายรองแล้ว"
ฟ่านเฉินไม่ได้เอ่ยตำหนิสิ่งใด เพียงยิ้มเล็กน้อย เขามองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้ใบหน้าแดงเรื่อเพราะพิษสุรา ดวงตาที่หรี่ปรือของนาง มองแล้วให้ความรู้สึกอยากทะนุถนอมเสียเหลือเกิน
เขาได้ยินเรื่องราวของนางมามาก มีเสียงเล่าลือเล่าอ้างว่านางก่อเรื่องทำร้ายคนอยู่บ่อยครั้ง นางชั่วร้ายเกินไป ชั่วร้ายเกินกว่าที่เขาจะทะนุถนอมนางเอาไว้ในฝ่ามือ!
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจนางเท่าใดนัก และไม่ได้คิดจะดึงนางเข้ามาเป็นหมาก นานมากแล้วที่เขาและนางไม่ได้พบเจอกัน เพราะเขาเอาแต่แข่งขันห้ำหั่นกับฟ่านหลิ่นจึงไม่มีใจไปสนใจนางเท่าใดนัก
แต่หลังจากจบงานเลี้ยงที่จวนองค์ชายใหญ่ในวันนี้ ฟ่านจิ้งน้องชายตัวดีกลับนำเรื่องของเย่หลีไปบอกเสด็จแม่ก็คือสวีกุ้ยเฟย เสด็จแม่จึงเรียกให้เขาเข้าไปพบในวัง
"เฉินเอ๋อร์ ได้ยินจิ้งเอ๋อร์บอกว่า เจ้าได้พบกับเย่หลี บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เย่แล้วอย่างนั้นหรือ"
"พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่"
ฟ่านเฉินยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะตอบผู้เป็นมารดา สวีกุ้ยเฟยยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางกล่าวขึ้นมา
"เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่"
ฟ่านเฉินชะงักไปชั่วขณะ เขาเงยหน้าจ้องมองมารดา
"เสด็จแม่เอ่ยสิ่งใดกัน ลูกไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย"
"ยามนี้เจ้าต้องเริ่มสนใจแล้ว"
ฟ่านเฉินวางถ้วยชาในมือลง ส่งรอยยิ้มให้สวีกุ้ยเฟยเล็กน้อย
"ท่านแม่ ลูกมีแผนการในใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอท่านแม่โปรดสนับสนุน อีกอย่างสตรีอย่างเย่หลีนั่นเจ้าเล่ห์มากแผนการ หากแต่งนางเข้ามานอกจากจะทำให้แผนการของเราไม่ราบรื่นแล้ว อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ควรใช้นางเป็นหมากบนกระดาน เมื่อหมดประโยชน์แล้ว จะเก็บไว้หรือสังหารทิ้งก็ค่อยว่ากันอีกที"
สวีกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินบุตรชายเสนอความคิดเช่นนั้นก็มีท่าทีครุ่นคิด ค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย เย่หลีผู้นั้นนางเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้าง จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่นางเจ้าแผนการดั่งที่ฟ่านเฉินว่าจริงๆ ที่สำคัญนางมักใหญ่ใฝ่สูงคิดจะแต่งกับฟ่านหลิ่น คนของนางรายงานมาว่าเพราเรื่องนี้ทำให้สองพี่น้องสตรีตระกูลเย่ถึงกับแทบจะฆ่ากันตาย
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แต่จำไว้ว่า แม่จะคอยสนับสนุนเจ้าเสมอ แม่อยู่ตรงนี้ เจ้าต้องจำไว้ว่าแม่รักเจ้าที่สุด เจ้ามีแผนการใดต้องรีบบอกแม่ให้รู้ทุกอย่าง แม่จะได้เตรียมแผนสำรองรับมือเอาไว้ให้เจ้า"
"พ่ะย่ะค่ะ"
สวีกุ้ยเฟยเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มมุมปากและมองบุตรชายด้วยแววตาที่อ่อนโยน
เสด็จแม่เห็นว่า เย่หลีเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เย่ ย่อมเป็นหมากสำคัญที่เสด็จแม่วางเอาไว้ให้เขาใช้งาน เสด็จแม่บอกว่าเขาคู่ควรกับตำแหน่งองค์รัชทายาทที่สุด ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของเขา เสด็จแม่ทุ่มเทแรงกายไปไม่น้อย อีกทั้งท่านตาก็คอยสนับสนุนอย่างลับๆ หลายปีมานี้กองกำลังลับที่เขาฝึกฝนเขาเอาไว้ก็แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขอเพียงเสด็จพ่อสวรรคตเมื่อใด ฟ่านหลิ่นตำแหน่งยังไม่มั่นคง ย่อมถูกเขาโค่นล้มได้โดยง่าย
แต่เสี้ยนหนามชิ้นใหญ่ที่เขาจะต้องจัดการนั่นก็คือแม่ทัพใหญ่เย่!
ขอเพียงกำจัดแม่ทัพใหญ่เย่ได้ แน่นอนว่ากองทัพตระกูลเย่ย่อมต้องตกเป็นของเขา เสด็จแม่ก็ต้องการเช่นนั้น
เพราะอย่างนั้นเย่หลีจึงเป็นหมากตัวสำคัญในครั้งนี้ หากเขาแต่งกับนาง แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดี
ก่อนหน้านี้ ได้ยินว่าฟ่านหลิ่นคิดจะแต่งบุตรอนุเข้าจวน เรื่องนี้เสด็จพ่อก็เห็นดีด้วย เพราะอีกไม่นานคาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายใหม่ ให้บุตรอนุมีสิทธิ์เท่าเทียมกับบุตรของภรรยาเอกได้ทุกประการ เสด็จพ่อของเขาไม่ได้เป็นฮ่องเต้ที่คร่ำครึ อีกทั้งยังเปิดกว้างมากอีกด้วย
แต่ว่าวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงไม่น้อย แต่ไหนแต่ไร ตระกูลในเมืองหลวงมักไม่ส่งบุตรสาวของตนแต่งกับองค์ชายพร้อมกันสองพระองค์ และแน่นอนว่าแม่ทัพใหญ่เย่ย่อมรู้ถึงเรื่องนี้ดี เขาจึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจะให้เย่หลีได้แต่งเข้าไปแทนเย่หลิง ให้พี่น้องตบตีกันเอง และที่สำคัญเขาต้องการสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ฟ่านหลิ่น ทำให้ฟ่านหลิ่นมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อสายตาผู้คน เมื่อฟ่านหลิ่นเป็นสาเหตุให้บุตรสาวสองคนตบตีกัน แม่ทัพใหญ่เย่มีหรือจะไม่มีอคติต่อฟ่านหลิ่น องค์ชายที่ผู้คนยกย่องว่าสูงส่งราวเทพเซียนแต่เบื้องหลังกลับมักมากในกาม เมื่อคนทะเลาะกันเอง ย่อมง่ายต่อการยุแยง
ด้วยนิสัยชั่วร้ายของเย่หลี นางไม่มีทางที่จะยอมรามือ เขาจะใช้ความชั่วร้ายของนางทำให้ฟ่านหลิ่นอยู่ไม่เป็นสุข!
นอกจากจะโยนเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้ไปให้ฟ่านหลิ่นได้แล้ว เขายังจะไม่ต้องแต่งสตรีร้ายกาจเข้าจวนมาเป็นภรรยา เขายอมรับว่าเขาชื่นชอบนาง ชื่นชอบที่นางเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย นิสัยมุทะลุไม่ยอมคน แต่อย่างไรคนเช่นนางไม่เหมาะจะเป็นชายาเอกของเขา
และนี่ก็คือเหตุผลที่เขามาพบเย่หลีที่หอเซียนสุราเมามายในเวลานี้