9. ความกังวลที่ถาโถม
หลังผ่านการเข้าหอที่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม เสี่ยวป๋ายก็หน้างอไม่ยอมมองสามีเลยแม้แต่น้อย นางยังคงสับสนในใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แม้นางจะชอบพอในตัวเขามาก่อน แต่เมื่อยามเข้าหอกับเขานางกลับรู้สึกไม่พร้อมเสียอย่างนั้น
ไม่สิ...รู้สึกผิดต่อท่านแม่ ท่านตา ท่านยายด้วยต่างหาก
นางซุกซนมาสิบกว่าปี ไม่คิดเลยว่านอกจากงานบ้านงานเรือนแล้ว ยามแต่งงานจะต้องปรนนิบัติสามีในห้องหอเช่นนี้ด้วย นางช่างเลินเล่อเสียจนไม่รู้ความเอาเสียเลย คิดแล้วก็ให้หน้าม้านไปอีก
ความผิดนางโดยแท้ที่เอาแต่เล่นสนุกจนแทบไม่ยอมเรียนรู้เรื่องที่สตรีพึงปฏิบัติจากมารดา
“เจ้าเป็นอะไรหรือหลานตาเฒ่า ทำไมจึงก้มหน้างุดเช่นนั้น”
เหลียนไช่เอ่ยถามเมื่อนางนั่งซุกตัวในผ้าห่มไม่ยอมสบตากับเขาแม้แต่น้อย แต่พอเขาเรียกนางว่าหลานตาเฒ่าเพียงเท่านั้นนางกลับหันขวับมามองตาขวางทันใด
“เมื่อใดท่านจะเลิกเรียกข้าว่าหลานตาเฒ่ากันเจ้าคะ!”
“อืม...อาจจะเป็นตอนที่เจ้าเลิกเรียกข้าว่าบัณฑิตเฒ่าก็เป็นได้”
ชายหนุ่มกดยิ้มมุมปากอย่างไม่ยอมแพ้ให้นาง นางจึงสะบัดหน้าหนีอีกรอบจนเขาต้องขยับเข้าใกล้และโอบนางเอาไว้ในอ้อมแขนเบา ๆ
“ข้าทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจหรือ”
“มิได้เจ้าค่ะ...ข้าเพียงแต่สับสน ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วความรักนั้นต้องเป็นเช่นไรกันแน่”
เสี่ยวป๋ายตอบพลางครุ่นคิดไม่ตก นางเติบโตมากับท่านแม่และท่านตาท่านยาย ไม่เคยเห็นยามบิดามารดาแสดงความรักต่อกันเลยสักครั้งเท่าที่จำความได้ จึงไม่รู้เลยว่าความรักฉันท์สามีภรรยานั้นเป็นเช่นไรกันแน่
เมื่อยามต้องเปลี่ยนสถานะเป็นสามีภรรยาจริง ๆ แล้วนั้น นางกลับกลัวว่าตนเองจะทำไม่ได้ จะเป็นภรรยาที่ดีให้สามีภาคภูมิใจไม่ได้
“ความรักนั้นช่างซับซ้อนนัก ยิ่งเป็นความรักที่ไม่เหมือนบิดามารดารักลูก ย่อมเข้าใจยากหนักหนา เอาไว้เจ้าโตขึ้นกว่านี้ ค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกันกับข้าก็ยังไม่สาย”
บัณฑิตเฒ่าสั่งสอนภรรยา พร้อมกับสั่งสอนใจตนเองไปด้วย เขาเองก็ไม่เคยเปิดรับสตรีใดเข้ามาในชีวิต ไม่อาจรู้ได้ด้วยซ้ำว่าจะทำสิ่งใดพลาดผิดต่อฮูหยินของตนบ้าง
“ข้าเองก็จะเรียนรู้ไปกับเจ้าด้วยเช่นกัน”
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
“หาใช่เรื่องต้องขอบคุณข้าไม่...ฮูหยิน”
พอเขาเปลี่ยนมาเรียกนางดังเช่นสามีเรียกภรรยาคนหนึ่งก็พาให้นางสะเทิ้นอายนัก ยังไม่ทันเข้าพิธีแต่งงานเขาก็ยกให้นางเป็นฮูหยินของเขาเสียแล้ว หากนางไม่รู้เห็นว่าเขาไม่นิยมเกี้ยวพาสตรีคงคิดว่าเขาเป็นบุรุษเจ้าชู้ปากหวานเสียแล้ว
“วันพรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับท่านตาของเจ้า”
“ท่านตาจะยอมหรือเจ้าคะ”
เสี่ยวป๋ายเริ่มคิดมากอีกครั้ง ป่านนี้ไม่แน่ว่าคนในเรือนก็อาจรู้แล้วว่านางแอบออกมานอกเรือน นั่นเท่ากับนางทำให้ท่านตาท่านยายต้องถูกครหานินทาไปด้วย
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ามีวิธีคุยกับตาของเจ้า ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง” เหลียนไช่รับปากอย่างหนักแน่นให้นางคลายกังวล
“แต่ท่านตาต้องผิดคำพูดกับทางคุณชายลั่วด้วยนะเจ้าคะ” เสี่ยวป๋ายก้มหน้างุด “ข้ารู้สึกผิดนักที่ทำให้ท่านตาต้องผิดวาจา”
“ตอนนี้ท่านตาของเจ้าไม่มีทางเลือกใดแล้ว” เขาเอ่ย
“แต่ว่า....”
“อีกทั้งเจ้าก็ไม่ได้รู้เห็นกับข้อตกลงแต่งงานนั้นตั้งแต่ต้น อย่าได้โทษตัวเองไปเลย”
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวป๋ายหยักหน้ารับบางๆ นางสับสนและไม่รู้ว่าจะทำให้ครอบครัวเดือดร้อนหรือไม่ การแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสตรีอย่างนาง ด้วยนางนั้นไม่อาจมีสามีหลายคนได้ ดังนั้นเสี่ยวป๋ายจึงอยากใช้ชีวิตกับคนที่ตนรัก หาใช่ผู้ที่ถูกเลือกให้
ยิ่งเมื่อคนผู้นั้นคือคุณชายลั่วด้วยแล้ว นางยิ่งไม่พึงใจ
“ขอให้เจ้าเชื่อใจข้า ข้าจะไปคุยและตกลงเรื่องนี้กับท่านตาของเจ้าเอง” เหลียนไช่ให้คำมั่นอีกครั้ง
นับแต่รู้จักกับตาเฒ่าชุนหลี่มานานหลายปี ตาเฒ่านั่นก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก ยอมรับฟังคนอื่นเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาขี้โมโหตามประสาคนแก่เท่านั้นเอง
แม้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน แต่ตาเฒ่าก็ไม่ได้เกลียดขี้หน้าเขาจนถึงขั้นไม่เผาผี ไม่เช่นนั้นป่านนี้เขาคงโดนไล่ออกจากสำนักศึกษา หรือไล่ออกจากหมู่บ้านไปนานแล้ว ไม่ได้เป็นบัณฑิตสอนหนังสือเด็ก ๆ เช่นนี้แน่
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกหิวหรือไม่”
เมื่อยังเห็นว่าที่ฮูหยินของตนซึมหนัก เขาจึงกล่าวถามอย่างใจดี
“ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ” นางตอบ “ข้าคิดไม่ตกเสียจนไม่หิวอาหารใด”
“เช่นนั้นเมื่อเจ้าเดินเหินได้สะดวกและพร้อมแล้ว ข้าจะกลับไปที่สำนักศึกษาพร้อมเจ้า”
“ท่านแน่ใจหรือ”
“ไม่ต้องกังวล” เหลียนไช่เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ข้ามีวิธีของข้า”
“เจ้าค่ะ”
แม้ชุนเสี่ยวป๋ายตอบรับแต่นางไม่ได้คลายความกังวลลงแต่อย่างใด หญิงสาวคิดไม่ตกเลยว่าเขาจะทำอย่างไร ท่านตาชุนหลี่ตระเตรียมงานและพูดคุยกับทางคุณชายลั่วมาหลายครั้ง ในด้านของความเหมาะสมยิ่งแล้วใหญ่
บัณฑิตเฒ่าเก่งกาจแต่ก็หาได้มีความร่ำรวยอันใดไม่ ครอบครัวของนางไม่มีทางยอมแน่
เห็นทีจะมีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นกระมังที่จะช่วงนางได้...