7. หนทางของเสี่ยวป๋าย
ชุนเสี่ยวป๋ายที่กำลังร้องไห้กลั้นสะอื้นพอได้ยินบัณฑิตเฒ่าถามด้วยเสียงคล้ายจะอ่อนโยนเช่นนั้น น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็พังทลายราวกับฤดูน้ำหลาก เสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังกลบทุกสรรพเสียงรอบเรือนไปสิ้น
“ข้า...” เหลียนไช่ค่อยๆคลายอ้อมกอดออกเมื่อได้สติ เมื่อครู่เขาเลื่อนลอยเผลอกระทำการไปโดยไม่ได้รู้ตัว หญิงสาวเองก็ยังคงร่ำไห้ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงอ้อมกอดนั้นตั้งแต่แรกเช่นกัน
ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะยื่นไปแตะผิวกายของนางต่อสักเล็กน้อย เขาเพียงแค่นั่งเคียงข้างนางเท่านั้น รับฟังเสียงคร่ำครวญร่ำไห้และเสียงโวยวายไม่อยากแต่งงานของนาง
ทุกคำที่นางพร่ำบอกกรีดแทงส่วนลึกในใจของเขาเหลือเกิน...
“ข้าไม่อยากแต่งให้คุณชายลั่วนั่นสักนิด”
เสียงเล็กโวยวายทั้งที่ใบหน้ายังงอง้ำ ยิ่งวันแต่งงานใกล้เข้ามานางยิ่งทำใจไม่ได้ จากที่คราแรกคิดว่าพอจะยอมหลับหูหลับตาได้อยู่แล้วเชียว
เหมือนกันกับเหลียนไช่ที่หน้าคล้ำลงหนึ่งในสามส่วน ทุกอย่างผิดแผนไปเพียงน้อยนิดทว่าเป็นน้อยนิดที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงทันตาเห็น
ใครเล่าจะรู้ว่าคุณชายลั่วผู้นั้นไม่ได้สนใจเรื่องฤกษ์งามยามอันเป็นมงคลใด ๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงได้หลานตาเฒ่าเป็นฮูหยินต่อให้ใช้ฤกษ์อัปมงคลเท่าไรก็ได้ แม้นฮูหยินใหญ่ตระกูลลั่วมารดาของมันออกปากท้วงก็ยังไม่ยอมฟัง
พาลให้เขาหงุดหงิดยิ่งนัก...หากแต่เสียงที่ใช้พูดคุยกับนางกลับยังคงสงบราบเรียบดังทะเลที่ไร้คลื่นลม
“เจ้าไม่ชอบคุณชายลั่วหรือ”
“ข้าไม่ได้พึงใจในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย” เสี่ยวป๋ายว่าด้วยความคับข้องใจ “ผู้ใดชอบก็ช่างเถิด ทำตัวอย่างกับนักเลงอันธพาลระรานชาวบ้านไปทั่ว ข้าไม่ปรารถนาล่ะคนหนึ่ง”
นางแปลกใจยิ่งนักยามแรกรู้ว่าว่าที่สามีคือคุณชายลั่ว ไม่คิดว่าท่านตาของนางจะชอบพอถูกชะตากับคนพรรค์นั้นได้ นอกจากทรัพย์สินที่ดินมากมายที่ตระกูลนั้นครอบครองและตำแหน่งขุนนางหัวเมืองเป็นที่เชิดหน้าชูตาไปทั่วก็ไม่มีสิ่งใดน่าพิสมัยเลยสักนิดเดียว
สันดานหรือก็จัดว่าเลว ชาวบ้านร้านตลาดต่างก็รู้กันดี ชื่อเสียงอันหมองมัวของเขาเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ลามไปจนถึงหมู่บ้านรอบข้างเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องคิดเลยว่าหากแต่งกันไปจะเป็นไปตามคำบุพการีว่า ‘อยู่ไปก็รักกันไปเอง’ ได้อย่างไร
“ข้าไม่อยากอยู่ใกล้เสียด้วยซ้ำไป” นางเอ่ยตามความจริง
เพียงแค่เฉียดใกล้ยังไม่อยาก หากบอกว่ารังเกียจอาจยังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าต้องร่วมหอลงโลงกันคงต้องขาดใจเป็นแน่...
“ข้าไม่อาจทนแต่งงานด้วยได้อย่างที่ท่านตาปรารถณาจริงๆเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของนาง เหลียนไช่ก็ลอบยิ้มในเงามืดอย่างพอใจ เขาไม่ปรารถณาให้นางเป็นของใครนอกจากเขาเพียงเท่านั้น
ใช่ว่าเขาเพิ่งรู้ใจตนเอง...ผิดมหันต์
เขาผ่านโลกมามากกว่าสามสิบปี ย่อมรู้ทันจิตใจตนเองอยู่แล้ว เพียงแต่หากต้องเลือกระหว่างความต้องการกับความเหมาะสม ด้วยความเคยชินต่อภาระหน้าที่เขาย่อมเลือกความเหมาะสมซึ่งจะนำพาปัญหามาสู่ตนน้อยกว่าอย่างแน่นอน
ทว่าครานี้เขากลับเลือกจะทำตามที่ตนเองต้องการ แม้รู้ว่าจะมีปัญหาตามมาอีกไม่รู้จบก็ตาม...
“ข้าดีใจที่เจ้าไม่ชอบบุรุษผู้นั้น”
“ทำไมหรือเจ้าคะ”
“เพราะข้าเท่านั้นที่จะเป็นสามีของเจ้าได้”
เสี่ยวป๋ายฟังแล้วก็นึกงง ก่อนหน้านางเพียรตามเกี้ยวพาเขาแทบตายวันละหลายหนเขายังเมินนางจนท้อใจ แต่บัดนี้กลับบอกว่าจะเป็นสามีเพียงผู้เดียว ไฉนจึงกลับดำเป็นขาวเช่นนี้เล่า?
“ข้าโง่เขลาไม่เข้าใจเจ้าค่ะ ท่านพูดเหมือนกับว่าจะแต่งงานกับข้าเลย” นางถามออกไปตรงๆ
“ใช่...เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”
“ไม่ได้ ท่านตาต้องไม่ยอมแน่”
ชุนเสี่ยวป๋ายส่ายหัวเป็นพัลวัน ขนาดใบหน้าเขาท่านตายังไม่อยากจะมอง พบกันครั้งใดก็จบลงที่การต่อปากต่อคำจนท่านตาโกรธเป็นฟืนเป็นเสียทุกทีไป ไม่นับที่เขาไม่มีฐานะใกล้เคียงกับคุณชายลั่วเลยสักนิด ต่อให้นางรักปักใจกับเขาสักเพียงใดก็ยากนักที่ท่านตาจะยอมรับหลานเขยอย่างเขาได้
“หากข้าบอกว่ามีหนทาง...เจ้าจะยอมเชื่อฟังข้าไหม”
“มีหนทางหรือเจ้าคะ” เสี่ยวป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มเพียงแค่พยักหน้า เขารับรู้ได้ถึงความลังเลของนาง ความลังเลที่จะเป็นผลดีต่อเขา
ไม่รู้ว่าเพราะสายตาที่เหมือนมีมนตร์สะกดของเขาหรือไรจึงทำให้นางพยักหน้ารับอย่างไม่รู้ตัว แต่เพียงเท่านั้นก็พอแล้วสำหรับบัณฑิตเฒ่า
“เช่นนั้น...ข้าขอสัมผัสกายของเจ้าหน่อยหนา”
หญิงสาววัยแรกแย้มไม่เข้าใจนัก ทว่าเมื่อนางจะอ้าปากถาม ริมฝีปากบางก็ถูกครอบครองอย่างถือวิสาสะก่อนจะเลาะเล็มให้นางคุ้นชิน
“อืม...”
ร่างในอ้อมแขนของเหลียนไช่สั่นสะท้านไปหมด ใบหน้าที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยแสงไฟในการมองเขาก็รู้ว่าต้องแดงเรื่อไปหมดแน่
บัณฑิตเฒ่ารู้สึกได้ถึงหัวใจของคนในอ้อมแขนได้อย่างชัดเจน เขากระชับวงแขนและขบเม้มริมฝีปากบางนั้นแรงขึ้นเล็กน้อย ช่วงชิมรสหวานจากนางอย่างแทะโลม
กว่าสติจะกลับคืนมาแผ่นหลังก็แตะฟูกที่นอนนุ่มเสียแล้ว มือน้อยวางทาบแผ่นอกกว้างออกแรงดันเขาไว้แต่ไร้ผล ตัวของเขาหนักราวกับแผ่นดินหนาหนักที่กำลังทับเธออยู่
“ทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”
เสียงห้ามของนางดังแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน และมันไม่ได้ช่วยให้เหลียนไช่ยอมผ่อนปรนให้นางเลยสักนิด
“ยอมเข้าหอกับข้าเถิดเสี่ยวป๋ายน้อยเอ๋ย”
ไม่รู้ว่าเพราะใจนางอ่อนแอหรือเสียงเรียกขานชื่อที่เปลี่ยนไปของเขากันแน่ที่ทำให้เสี่ยวป๋ายแทบละลายไปกับอ้อมกอดของเขา ใจของนางคล้ายล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ที่มีเทพเซียนมากมาย
“อือ...”
อาภรณ์ที่เสียดสีจนร่างกายร้อนระอุถูกปลดออกจากเปลือยเปล่า มีเพียงแสงเทียนที่อาบไล้ผิวกายนวลเนียน แม้กระทั่งแสงจันทร์ยังไม่อาจสาดส่องทะลุบานหน้าต่างที่ปิดสนิทมาต้องผิวนางได้
“บัณฑิตเฒ่า...”
นางเอ่ยเรียกเขาอย่างเลื่อนลอย เหลียนไช่ประทับจูบลงบนหน้าผากเนียน เขาไล่ริมฝีปากลงมาจนกระทั่งสัมผัสกับปากนางอีกรอบ ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าออกไปก่อนจะยกยิ้มนุ่มและกระซิบที่ข้างหูแผ่วเบา
“เสี่ยวป๋าย คืนนี้เจ้ามาเป็นของข้าเถิด...”