6. คะนึงหา
หลังกินมื้อค่ำกับมารดาและท่านตาท่านยายเสร็จ ชุนเสี่ยวป๋ายก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องของตนเอง นั่งกอดเข่าอยู่บนที่นอนจนค่อนคืนแล้วก็ยังนอนไม่หลับ ใจวนเวียนคิดถึงแต่วันที่ท่านตาบอกว่าถึงเวลาต้องออกเรือนจริงจังเสียที
วันนั้นนางกลับเข้าบ้านมาก่อนย่ำค่ำเล็กน้อยก็เจอทุกคนกำลังนั่งปรึกษาหารือกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนที่ท่านตาชุนหลี่ของนางจะบอกออกมาว่า นางจะต้องออกเรือนกับคุณชายลั่ว โดยทางบ้านของคุณชายลั่วนั้นได้ส่งแม่สื่อมาทาบทามตั้งแต่พ้นพิธีปักปิ่นได้ไม่นานเท่าใดแล้ว
‘ทางคุณชายลั่วได้ส่งคนมาทาบทามไว้ตั้งแต่พิธีปักปิ่น’ ท่านตาบอกนางเช่นนั้น ‘ตระกูลของคุณชายลั่วทัดเทียมตระกูลของเรา อีกทั้งหลานทั้งสองก็ดูเหมาะสมกันมากเหลือเกิน’
‘แต่ข้าไม่ได้รักคุณชายลั่วนะเจ้าค่ะ’
‘เมื่อแต่งกันไปแล้ว ตาเชื่อว่าทั้งสองคนก็จะรักกันเอง’
ครั้งนางอ้าปากจะปฏิเสธต่อ ท่านตาก็เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงขอร้องนางแทน ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านยายป่วยไข้มานาน ไม่แข็งแรง เดินเหินก็ไม่ได้สะดวกเหมือนก่อน ไม่รู้จะจากไปวันไหน ก่อนตายก็อยากจะเห็นหลานเพียงคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที จะได้สบายใจว่าหลานมีหลักยึดอันมั่นคงให้พึ่งพิงไม่ลำบากแน่แล้ว
‘ยายรักและเป็นห่วงหลานเหลือเกิน ยายอยากเห็นหลานได้เป็นฝั่งเป็นฝาและมีคู่ครองที่ดี...’
เมื่อท่านยายขอร้องออกมาเช่นนั้น เสี่ยวป๋ายจึงได้กลืนคำปฏิเสธลงคอไปอย่างไร้ทางเลือก ในเมื่อพวกท่านคาดหวังขนาดนั้นแล้วจะให้นางอกตัญญูต่อพวกท่านได้อย่างไร
ภายในเรือนหลังเล็กเงียบสงบกว่าเดิมนัก เป็นเวลากว่าสิบวันแล้วที่หลานสาวตาเฒ่าไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นเลย นางไม่มาหาเขาที่เรือนอีกอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ แม้แต่ที่สำนักศึกษาเขาก็ไม่เจอนาง
ถึงเขาจะทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ในใจนั้นกลับร้อนรุ่มไปหมด รู้ตัวอีกทีสายตาก็เพียรมองหานางอยู่ร่ำไป คราแรกเขาใจร้อนคิดจะไปเยือนถึงเรือนของตาเฒ่าชุนหลี่เลยทีเดียว แต่ด้วยรู้ดีว่าไม่เหมาะสมและหญิงสาวอาจจะโดนผู้คนครหาเอาได้ จึงทำได้เพียงอดทนรอและเฝ้าสังเกตการณ์เท่านั้น
เขาคาดว่าตอนนี้น่าจะยังคงยังอยู่ในขั้นตอนสู่ขอจากฝั่งเจ้าบ่าวเป็นแน่ กว่าจะหาฤกษ์ยามอันควรได้ย่อมไม่ใช่เร็ววัน เพราะเหตุใดน่ะหรือ...
เพราะเขาจัดการบรรดาสำนักทำนาย ซินแส แม่หมอ คนทรงไว้หมดแล้วน่ะสิ ฤกษ์ยามในเวลานี้ย่อมมีแต่อัปมงคลฤกษ์เพียงเท่านั้น
“เฮ้อ...”
เหลียนไช่เก็บสมุนไพรไปถอนใจไป สมาธิของเขาปั่นป่วนไปหมดในช่วงนี้ แม้สอนตำราเด็กน้อยยังสอนผิด ๆ ถูก ๆ จนห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย
“เรือนของข้าช่างเงียบเหงานัก...” บัณฑิตเฒ่ากล่าวอย่างเหม่ออย
กว่าเขาจะกลับออกจากป่ามาถึงเรือนพักฟ้าก็มืดพอดี เขาเดินไปจุดตะเกียงให้แสงสว่างรอบเรือนก่อนเข้าไปในห้องนอน ภายในห้องของเข้ากว้างขวางพอที่จะปูฟูกนอนได้สบาย และยังตั้งโต๊ะอ่านตำรายามราตรีได้ด้วย แม้จะไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากมายให้เกะกะสายตาก็ตาม
“ฮึก....”
ทันทีที่ห้องสว่างด้วยแสงจากเปลวเทียนเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคนที่เขาคะนึงหามาหลายวันนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง ใบหน้างามแดงระเรื่อทว่าเปียกไปด้วยหยาดน้ำตาที่ยังไหลอยู่ ดวงตาคู่นั้นบวมช้ำด้วยผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง เสียงสะอื้นของนางแทบไม่มีหลุดจากปากเล็กนั่นเลย มีเพียงน้ำตาที่ยังคงไหลไม่หยุด
“ฮึก...ท่านบัณฑิตเฒ่า....”
เพียงแค่เห็นนางร้องไห้ ใจของเหลียนไช่ก็พลันหนักหน่วงเหมือนมีหินนับสิบก้อนผูกถ่วงเอาไว้ เขาชอบที่เห็นนางร่าเริงแจ่มใส ยิ้มเก่ง มากกว่าที่จะเห็นนางซึมเซาและเจ็บปวดเช่นนี้
น้ำตาช่างไม่เข้ากับนางเอาเสียเลยนะดรุณีน้อย...
ทว่านั่นก็เป็นเพียงความคิดในใจของบัณฑิตเฒ่า เขาไม่ใช่คนที่จะพูดจาปลอบใจผู้ใดได้แน่ อีกอย่างเขาไม่เคยทำเช่นนั้นมาก่อนเลย เขาถนัดเหยียบย่ำและซ้ำเติมศัตรูเสียมากกว่า หลานเขาผู้เป็นรัชทายาทในตอนนั้นก็ยังมีจิตใจแข็งแกร่งจนไม่เคยต้องปลอบใจใด ๆ
“บัณฑิตเฒ่า ข้า....” เสี่ยวป๋ายสะอื้น
“คือ...ข้า ข้า....”
ใบหน้าสวยเงยหน้าสบสายตาเขากับเข้า ยิ่งเห็นแววตาคู่นั้นบัณฑิตเฒ่าก็พลันใจอ่อนยวบ เขาเดินเข้าไปสวมกอดนางอย่างลืมตัว เหลียนไช่ไม่อาจหาข้ออ้างใดมาให้แก่ตนเองได้อีกแล้ว เขาเฝ้ารอที่จะเห็นนางมาตลอดระยะเวลาสิบวันนี้
และในตอนนี้ที่นางนั้นร่ำไห้เรียกหาเขาเพียงนี้ เหตุใดเขาจะต้องเพิกเฉยใส่อีกเล่า
“ข้าไม่ได้ ฮึก...ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนท่าน ฮึก”
“เจ้าไม่ได้รบกวนอันใด”
“ข้า....” เสี่ยวป๋ายพยายามกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้จนไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้ นางสูดลมหายใจเข้าอยู่หลายที
บัณฑิตเฒ่าไม่เร่งรีบนางแต่อย่างใด เขาเผลอไผลยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมนุ่มอย่างปลอบประโลม กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นและกล่าวเสียงอ่อนโยน
เป็นน้ำเสียงที่เขาไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ใดได้รับมันมาก่อน...
“เจ้าเป็นอะไรหืม...หลานตาเฒ่า”