5. คำขอครั้งสุดท้าย
หลายวันต่อมาหลังจากเหลียนไช่กลับจากสำนักศึกษาเขาก็เจอหลานของตาเฒ่าชุนหลี่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าเรือน ท่าทางของนางดูเคร่งเครียดผิดวิสัยคล้ายคนกำลังมีเรื่องคิดไม่ตก นางไม่ได้ยินกระทั่งเสียงฝีเท้าเขาด้วยซ้ำไป
“ใจลอยไปถึงที่ใดกันหลานตาเฒ่า”
นางเรียกเขาว่าบัณฑิตเฒ่า เขาจึงตอบแทนด้วยการเรียกนางว่าหลานตาเฒ่าด้วยเช่นกัน นับว่าดีสำหรับเขาที่ไม่คิดจะเรียกชื่อนางอย่างสนิทใจเท่าใดนัก
“อ๊ะ บัณฑิตเฒ่า ท่านกลับมาแล้ว!”
นั่นปะไร ไม่ทันขาดคำนางก็เรียกขานเขาเช่นนี้อีกแล้ว นี่เขาดูชราเทียบเท่าตาเฒ่าชุนหลี่แล้วหรือไร หรือเพียงสายตาของนางไร้แววกันแน่
ชุนเสี่ยวป๋ายวิ่งถลาเข้ามาหาก่อนจะคว้ามือของเขามากอบกุมเอาไว้โดยที่ชายหนุ่มไม่ทันตั้งตัว เหลียนไช่สะดุ้งตกใจเล็กน้อยด้วยปกตินางไม่เคยทำเช่นนี้กับเขาเลย
“มีเรื่องอะไรหรือหลานตาเฒ่า หน้าเจ้าดูตื่นตกใจนัก”
“ข้ากำลังจะต้องแต่งงานเจ้าค่ะ”
“...............”
หลังคำบอกเล่าของเสี่ยวป๋าย บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความเงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงเสียดสีกันของกิ่งไม้และลมหวีดหวิว
“บัณฑิตเฒ่าเจ้าคะ...”
เสี่ยวป๋ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเอ่ยถามออกไปอย่างต้องการความชัดเจน
“ข้าขอถามครั้งสุดท้าย...ท่านจะแต่งให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางจ้องหน้าเขาพร้อมทั้งบีบมือเขาแน่นอย่างคาดหวังในคำตอบ แม้ทุกครั้งที่ผ่านมานางจะยอมถอยให้กับคำตัดรอนของเขาและเริ่มใหม่เสมอ แต่ครั้งนี้นางไม่อาจทำอย่างนั้นได้อีกแล้ว
“ท่านบัณฑิตเฒ่าจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” นางถามย้ำ
ชุนเสี่ยวป๋ายหัวใจเต้นรัว คำตอบของเขามีผลกับชีวิตในภายภาคหน้าของนางอย่างมาก ดังนั้นนางจึงมีความหวังเล็กๆว่าเขาอาจจะตอบตกลง
ทว่าความหวังของนางก็พังครืนเมื่อบัณฑิตเฒ่าส่ายหน้า เขาเคยตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่ออกเรือนกับสตรีนางใด จะไม่ยอมฝักใฝ่ในรักหรือผูกพันกับสตรีใดทั้งสิ้น และเขาก็ยังคงตั้งมั่นเช่นนั้นมาตลอดจนกระทั่งบัดนี้
“คำตอบของข้ายังคงเป็นเช่นเดิม...” เหลียนไช่ตอบออกไป
แววตาของสตรีด้านหน้าช่างสั่นคลอน นางปล่อยมือเขาอย่างแผ่วเบา แม้แต่เหลียนไช่ยังนึกสงสารดรุณีด้านหน้านี้นัก เขารู้ดีว่าคำตัดรอนของเขาในครั้งนี้คงทำให้นางต้องแต่งงานบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขาแน่
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางฝืนยิ้มบางๆ “ข้าเข้าใจ... ไม่เป็นอันใดเลยเจ้าค่ะ”
เหลียนไช่ไม่รู้ว่าควรจะตอบ ปลอบใจ หรือควรจะอวยพรให้กับชีวิตแต่งงานของสาวน้อยดี เขาพูดไม่ออกเหมือนมีบางอย่างที่หนักอึ้งอยู่ในอกกำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ต่อจากนี้ข้าคงมารบกวนท่านไม่ได้อีกแล้ว”
น้ำเสียงของนางแม้จะฟังดูละโหยโรยแรงทว่าก็แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว กว่าสติของเขาจะเข้าที่ตรงหน้าของเขาที่เคยมีดรุณีน้อยนางหนึ่งก็พลันว่างเปล่า เขาหันไปมองทางที่นางเดินกลับไปด้วยความรู้สึกวูบโหวงภายในเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกจะปัดมันทิ้งและเดินเข้าเรือนไปอย่างเนือย ๆ
ฟากชุนเสี่ยวป๋ายที่เดินอย่างคนล่องลอยกลับมาในเรือนของตนแล้ว หัวใจดวงน้อยก็ห่อเหี่ยวจนยากจะพูดจากับใคร แม้แต่สาวใช้คนสนิทที่คอยเดินตามอย่างฮุ่ยหลินยังสัมผัสได้ว่าคุณหนูของนางเปลี่ยนไปเพียงใด
“พี่หลินหลินคิดว่าข้าตัดสินใจถูกหรือไม่”
หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจ นางมุ่งหวังมาโดยตลอดว่าจะเลือกเจ้าบ่าวด้วยตนเอง ทว่าถึงวันนี้เมื่อหมดเวลาเลือกหาแล้ว นางก็จำใจต้องยอมรับการตัดสินใจของท่านตาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“การเชื่อฟังบุพการีย่อมเป็นสิ่งประเสริฐเจ้าค่ะคุณหนู” ฮุ่ยหลินตอบไปโดยไม่ต้องคิด
แต่ไหนแต่ไรมาสตรีเราก็ถูกสั่งสอนให้เชื่อฟังบิดามารดา เมื่อยามออกเรือนก็ต้องเชื่อฟังสามี เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สตรีทุกคนควรกระทำ แล้วเหตุใดจึงควรคัดค้านผู้เปรียบเสมือนบิดาคนที่สองอย่างนายท่านชุนหลี่เล่า
จะมีก็แต่คุณหนูของนางนี่แหละที่ออกจะไม่เหมือนสตรีเรือนอื่นอยู่บ้าง หัวรั้น ดื้อแพ่ง แต่นางก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางอย่างที่ทุกคนนึกกังวล เพียงแค่ซนไปตามประสาเด็กสาวก็เท่านั้น
“ในภายหน้า...คุณหนูจะตัดใจจากบัณฑิตผู้นั้นได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางยังตกใจอยู่ไม่น้อยเลยยามที่คุณหนูบอกว่าจะตัดสัมพันธ์กับบัณฑิตยาจกผู้นั้น ทั้งที่นางเห็นคุณหนูเพียรตามเกี้ยวพาเขาอยู่นานหลายเดือน แต่ก็ไร้ทีท่าว่าเขาจะใจอ่อนเสียที แม้นางจะไม่เห็นด้วยที่คุณหนูจะชอบพอกับคนไร้ฐานะเช่นเขา หากก็อดใจอ่อนให้คุณหนูเสี่ยวป๋ายไม่ได้สักครา
“นั่นสินะ”
ชุนเสี่ยวป๋ายเอ่ยกับทั้งฮุ่ยหลินและกับใจตนเอง แม้นางจะเลือกทางนี้แล้วแต่ในใจลึก ๆ กลับหวั่นไหวอย่างไม่มั่นใจเหมือนที่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย
“สักวันข้าจะตัดใจจากบัณฑิตเฒ่าได้” นางบอกกับตัวเอง
เสี่ยวป๋ายยกมือขึ้นปาดน้ำตาพลางยิ้มสู้ อย่างไรเสียบัณฑิตเฒ่าก็ไม่ได้รักใคร่นางอยู่แล้ว ต่อให้นางตามติดเขามากเพียงใดชายผู้นั้นก็คงไม่มีทางเปลี่ยนใจ การแต่งงานกับผู้ที่ท่านตาเลือกให้อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนาง
“พี่หลินหลินออกไปด้านนอกก่อนเถิด” นางหันไปบอกพี่เลี้ยง “ข้าขออยู่เพียงลำพังสักครู่”
“เจ้าค่ะ” ฮุ่ยหลินรับคำและเดินออกไปเงียบๆ บางทีการปล่อยให้คุณหนูได้คิดทบทวนเพียงผู้เดียวอาจจะเยียวยาจิตใจได้มากกว่า
คล้อยหลังเมื่อสาวใช้คนสนิทออกไปจากห้องแล้ว ชุนเสี่ยวป๋ายก็ร้องไห้ออกมาเพียงลำพัง นางไม่เปล่งเสียงสะอื้นออกมาแม้แต่น้อยด้วยกลัวว่าผู้อื่นจะเป็นห่วง วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่นางจะไปพบเขาและนั่งฟังเขาบรรเลงเพลงขลุ่ย
เสี่ยวป๋ายแอบมีความหวังว่าลึกๆแล้วบัณฑิตเฒ่าจะมีใจให้แก่นาง หากเขารู้ว่านางต้องตบแต่งกับชายอื่นคงตอบรับคำขอของนางบ้าง ทว่านางก็ต้องผิดหวังเช่นเดิม ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้ในวันนี้...
บางทีนางควรจักพอได้แล้วจริงๆ...