4. ขลุ่ยดอกเลาของผู้เฒ่า
“ขอบคุณท่านบัณฑิตเฒ่า เช่นนั้นหากท่านจะไปขายสมุนไพรวันใดข้าก็พร้อมตามไปด้วยเจ้าค่ะ” ดรุณีสาวยิ้มร่าเมื่อได้รับอนุญาตให้ตามไปตลาดยาด้วย
ตลาดยาที่เขาว่านี้เป็นตลาดในหมู่บ้านใกล้เคียงที่ใหญ่โตกว่าหมู่บ้านของนาง ราคาข้าวของสูงกว่าแต่ไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นที่รวมของร้านหมอมากมายคอยรักษาชาวบ้านที่เจ็บไข้ เมื่อหมู่บ้านใกล้เคียงพากันไปหาหมอที่นั่นกันเสียส่วนมาก ก็เกิดปัญหาสมุนไพรขาดแคลนกันอยู่บ่อยครั้งทำให้คนเจ็บป่วยต้องรอยาจนบางครั้งก็อาการกำเริบขึ้นมาเสียก่อน
ร้านยาเหล่านั้นจึงยอมให้ชาวบ้านนำสมุนไพรไปขายให้พวกเขาได้ แม้จะให้ราคาไม่สูงนักก็ตาม แต่ก็พอให้ปากท้องอิ่มไปได้หลายวัน
เหลียนไช่เองก็มักจะทำเช่นนั้น เขาใช้เวลาว่างในบางวันเข้าไปหาสมุนไพรในป่าที่พอจะเข้าได้และออกมาอย่างปลอดภัย ใครต่อใครที่มองว่าเขาเป็นบัณฑิตยากจนก็นึกว่าเขามีเบี้ยไม่พอใช้จ่ายจึงต้องทำเช่นนี้ จนบางครั้งชุนหลี่ก็อดกระแนะกระแหนไม่ได้ว่าสำนักศึกษาคงให้เบี้ยหวัดเขาน้อยไปจนไม่พอยาไส้
แต่แท้จริงแล้วเขาทำเพื่อเส้นสายทางการค้าและข่าวสารต่างหาก แน่นอนว่าเรื่องนั้นนอกจากเขาเองแล้วก็หามีใครรู้ไม่...ไม่สิ คงมีคนผู้หนึ่งกระมังที่รู้ความเคลื่อนไหวของเขาอยู่เสมอคล้ายมีตาสวรรค์ก็ไม่ปาน
“แล้ววันนี้ท่านจะไปที่ใดอีกหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวป๋ายเอ่ยถามอย่างทุกที
“วันนี้ข้าไม่มีธุระอันใดอีกแล้ว”
“ข้าก็เช่นกันเจ้าค่ะ” นางว่า “เช่นนั้นข้าจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนท่านเองนะเจ้าคะ”
บัณฑิตเฒ่าส่ายหน้า เขาก็เห็นนางว่างมานั่งรับลมอยู่ที่นี่ทุกวันไป
“เจ้าอยากลองเป่าขลุ่ยหรือไม่”
เหลียนไช่ถามอย่างใจดีจนหญิงสาวถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“อยากเจ้าค่ะ” เสี่ยวป๋ายตอบทันที “เพียงแต่ข้าไม่สันทัดการเป่าขลุ่ยนัก”
“ไม่ยากหรอก” เหลียนไช่นำขลุ่ยออกมาและยื่นส่งไปให้สตรีด้านหน้า “ข้าจะสอนเจ้าบรรเลงเพลงขลุ่ยเอง”
นางรับขลุ่ยเลาโปรดมาจากเขาอย่างเบามือและทะนุถนอมราวกับกลัวว่ามันจะหักคามือเสียตรงนี้ หากเป็นเช่นนั้นจริงคอของนางก็อาจจะหักตามมันไปก็เป็นได้
“ข้าจับขลุ่ยไม่เป็นด้วยซ้ำไปเจ้าค่ะ”
“งั้นทำตามที่ข้าสอน”
บัณฑิตเฒ่าของเสี่ยวป๋ายขยับเข้ามานั่งซ้อนหลังของนางกึ่งเบี่ยงมาด้านข้างเล็กน้อยให้พอมองเห็นขลุ่ยที่นางถือ เพียงเท่านั้นใบหน้าของหญิงสาวก็เห่อร้อนขึ้นมาโดยพลัน เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าขาวเปล่งปลั่งด้วยเลือดฝาด
“เจ้าต้องจับขลุ่ยเช่นนี้”
เขาเอื้อมมือมาจับมือนางให้วางลงแต่ละรู แล้วค่อย ๆ ขยับตามท่อนเพลงที่เขาสอน เสียงขลุ่ยที่นางเป่าตะกุกตะกักต่างจากเสียงที่เขาเป่ามากโข นั่นเพราะลูกศิษย์ของเขานั้นสมาธิแตกซ่านจนแทบไม่อาจจำสิ่งที่เรียนรู้ได้เลย
“สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องมีสมาธิ” เขาเอ่ย “ลองดูใหม่อีกรอบดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” นางตอบ หัวใจสั่นรัวไปกับทำนองเพลง
จะให้นางมีสมาธิได้อย่างไรเล่าในเมื่อท่านบัณฑิตเฒ่าอยู่ห่างกันเพียงแค่นี้... นางทำไม่ได้หรอก
เสี่ยวป๋ายใจเต้นตึกตักรัวเสียจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากหน้าอกของนาง กลิ่นกายของบุรุษที่อยู่ใกล้เพียงไม่ถึงฝ่ามือทำนางใจสั่นไปหมด ไหนจะสัมผัสอ่อนโยนที่มืออีก ร่างกายของนางวูบวาบจนคล้ายจะเป็นลม
“ข้า! ข้าไม่ไหวเจ้าค่ะ”
ดรุณีน้อยโพล่งออกมาก่อนจะยันตัวลุกขึ้นห่างจากกายบัณฑิตเฒ่า หากนางยังนั่งเคียงกายเขาอยู่ตรงนั้นมิแคล้วต้องเป็นลมสิ้นสติในอ้อมแขนเขาเป็นแน่
“เจ้าไม่สบายหรือ ใบหน้าซีดเซียวเชียว”
“ข้า...”
พอเขาทักเช่นนั้นนางก็เผลอเอามือแตะใบหน้า คิดว่าคงเป็นดั่งเช่นที่เขาว่าจริง ๆ เพราะนางก็รู้สึกว่าร่างกายหาปกติเหมือนทุกวันไม่ ยิ่งสบสายตาเขาและมองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแม้จะเพียงเล็กน้อยของเขาอาการของกายยิ่งร้อนราวกับมีไข้
“คงเพราะวันนี้ตากแดดมากเกินไปกระมังเจ้าคะ ใบหน้าข้าจึงซีดเซียว” นางตอบ
“ตัวเจ้าก็ไม่ได้ร้อนคุณหนู”
ชายหนุ่มเอื้อมแตะหน้าผากของนางแผ่วเบาและรวดเร็วก่อนจะเก็บมือกลับมาที่เดิม ทว่าเจ้าของร่างกายนั้นเหมือนจะแข็งค้างไปเสียแล้ว
ทว่ากริยานั่นกลับทำให้เหลียนไช่ซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ลึกลงยิ่งกว่าเดิม เขาพูดไปเช่นนั้นเอง แท้จริงแล้วใบหน้าของนางนั้นแดงก่ำเหมือนลูกสือหลิวเสียมากกว่า
“ข้าขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ”
เมื่อคล้ายจะยืนต่อไปไม่ไหวเสี่ยวป๋ายก็ชิงขอตัวกลับเรือนก่อน โดยที่ไม่รอให้เหลียนไช่ตอบสิ่งใดนางก็หันหลังเดินลิ่ว ๆ จากไป
“ไว้พบกันใหม่นะเจ้าคะท่านบัณฑิตเฒ่า” นางยังไม่วายหันมาบอกอีกครั้ง
เจ้าของเรือนที่มองตามก็ยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนจะถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เขารู้ดีว่าหากใกล้ชิดเหมือนเช่นเมื่อครู่นางก็จะขัดเขิน
“เจ้าไม่เหมือนสตรีนางใดที่ข้าเคยพบจริงๆ” เขาเอ่ยกับตนเองอย่างนึกเอ็นดู
ยิ่งอ่อนโยนนางก็ยิ่งจะหลอมละลายดังเช่นสตรีที่ไร้มารยา ไร้เดียงสาเยี่ยงนัก
วิธีนี้มักจะเป็นหนทางที่เขาเลือกจะทำเมื่อต้องการไล่นางกลับบ้าน ด้วยเมื่อบอกดี ๆ นางก็มักจะต่อต้านหรือทำหูทวนลมทุกครั้งไป นี่ก็เย็นย่ำจนดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าเข้าไปทุกทีนางยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับแต่อย่างใด
แต่เขานี่สิเหนื่อยกายมาทั้งวัน ทั้งสอนหนังสือและเข้าป่าไปหาสมุนไพร เขาอยากพักเหนื่อยจะแย่แล้ว คงสู้รบปรบมือกับการเกี้ยวพาของนางไม่ไหว ดีที่นางยังไม่หาญกล้าถึงกับพลีกายให้เขาหรือขืนใจเขาไม่อย่างนั้นเขาคงขยาดนางน่าดู
ดวงตาเรียวสวยตวัดมองไปตามทางที่เสี่ยวป๋ายเดินกลับไปอีกครั้ง เขายกยิ้มเล็กน้อยพลางลุกขึ้นสะพายตะกร้าสานที่วางเปล่าขึ้นบ่า เมื่อแหงนมองดวงตะวันแล้วก็ดำริได้ว่าเขาเองก็เข้าเรือนเพื่อพักผ่อนแล้วเช่นกัน
“ไว้พบกันใหม่เช่นกัน...ชุนเสี่ยวป๋าย”