3. สองบัณฑิตเฒ่าของเสี่ยวป๋าย
เวลาผ่านไปจนดวงอาทิตย์เริ่มลับลงตรงขอบฟ้า แสงเทียนจึงถูกจุดให้ส่องสว่างขึ้นบนโต๊ะหนังสือในยามค่ำคืน ทว่าบัดนี้เปลี่ยนจากโต๊ะตรงชานเรือนเข้ามาในห้องนอนแทน
เหลียนไช่หยิบตำราเล่มใหญ่ออกมาวางใต้แสง เขามักจะนั่งทบทวนตำราในยามว่างโดยเฉพาะช่วงก่อนเข้านอน ด้วยมันไร้เสียงรบกวนของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง
ระหว่างที่อ่านตำราของปราชญ์ผู้เลื่องชื่อมือหนาก็หยิบเอาขนมเข้าปากไปด้วย แม้นเขาจะไม่เคยตอบรับไมตรีจากสตรีน้อยนางนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ตัดรอนขนมรสชาติดีพวกนี้เสียทีเดียว เพียงแต่ไม่กินต่อหน้าให้นางเห็นแล้วได้ใจเท่านั้นเอง
“ดอกเหมยงั้นหรือ...” เขาชำเลืองตามองดอกไม้สีชมพูสวยหนึ่งดอกที่วางอยู่ใกล้กันกับห่อขนม
บัณฑิตหนุ่มส่ายหน้าเบาๆกับความช่างเกี้ยวของนาง นางน่าเอ็นดูมากกว่าเหล่านางในพวกนั้นนั้นในความคิดของเหลียนไช่ เขาไม่ต้องหวาดระแวงกับเล่ห์กลและแผนการมากมายซึ่งแฝงมาเหมือนกับการกระทำของพวกนาง...ที่มากด้วยความโลภและผลประโยชน์ไม่รู้จักจบสิ้น
ปกติเขามักเบื่อหน่ายสตรีที่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เนือง ๆ ยามอยู่ในวังจนเคยชิน หากแต่ชุนเสี่ยวป๋ายกลับต่างออกไป แม้นางจะโตจนพ้นวัยปักปิ่นมานับปีแต่นางก็ดูเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาเสียมากกว่าดรุณีน้อยที่พร้อมจะออกเรือน
เพียงต้องสายตาบุรุษ นางก็สะเทิ้นอายจนใบหน้าขึ้นสีโดยไม่รู้ตน...
ไม่ต้องพูดถึงยามถูกเนื้อต้องตัว นางมักจะสะดุ้งจนเผลอหลบแทบทุกครั้งไป แม้จะโดนโดยไม่ได้ตั้งใจก็เถิด
ผิดกับฝีปากที่กล้าเกินหญิงของนางมากนัก
‘ข้าหาได้สะดุ้งไม่นะเจ้าคะ เพียงแค่ไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้นเอง’
นั่นคือคำที่นางมักใช้แก้ต่างความเขินของตนเองอยู่เสมอ
ซึ่งสำหรับเหลียนไช่นั่นก็นับเป็นจุดอ่อนที่เขามักใช้โต้ตอบหญิงสาวนับครั้งไม่ถ้วนในยามที่ต้องการให้นางไปจากเขาเสียที แต่ไม่อาจเอ่ยปากไล่นางโดยตรงได้
ไม่สิ...เขาไล่จนปากเปียกปากแฉะ จนคิดว่านางอาจจะหูหนวกก็เป็นได้ แต่นางก็หาได้ตอบสนองในสิ่งที่เขาพูดไม่ ตรงกันข้ามนางกลับฉีกยิ้มจนแทบจะกลายเป็นแสยะและปักหลักนั่งอยู่ที่เดิมจนบางคราใกล้มืดค่ำ จนสาวใช้ของนางต้องมาตามกลับบ้านไป
‘ตรงนี้เงียบสงบร่มรื่น ข้าขออยู่ตรงนี้อีกสักพักเจ้าค่ะ’
‘ลมเย็นดีนะเจ้าค่ะ ที่เรือนข้าอากาศร้อนเหลือเกิน ไว้เย็นแล้วข้าจะกลับเจ้าค่ะ’
‘ท่านบรรเลงเพลงขลุ่ยให้ข้าฟังต่ออีกสักเพลงไม่ได้หรอกหรือ’
และอีกสารพัดคำกล่าวมากมายซึ่งแทบไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน
ทว่านางไม่ได้ดื้อดึงเอ่ยปากกับเขามากเกินจนเขารำคาญ นางเลือกที่จะนั่งนิ่งและมองเขาดังเช่นเมื่อกลางวันมากกว่า
แรก ๆ เขาก็อึดอัดที่มีคนมานั่งจ้องเช่นนี้ตอนอ่านตำรา แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็คุ้นชินจนทางทีเขาเองก็ลืมไปว่ามีดรุณีนางหนึ่งนั่งอยู่ใกล้
วันถัดมาเมื่อเขากลับมาจากสำนักศึกษาในยามบ่ายแก่ เหลียนไช่ก็พบว่าเรือนของเขาหาใช่ของเขาอีกต่อไป ด้วยมีสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งอ่านตำราจับจองแทนที่เขาเสียแล้ว
“อะแฮ่ม!”
เขากระแอมเสียงดังพอให้แขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญได้ยิน นางรีบลุกเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มติดใบหน้าเหมือนเคย มือน้อยยื่นห่อผ้าที่น่าจะมีกล่องขนมของโปรดเขามาให้
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะบัณฑิตเฒ่า” นางว่า “ข้านำขนมมาฝากเจ้าค่ะ”
เหลียนไช่ตากระตุกเพราะคำว่าบัณฑิตเฒ่า นานครั้งจึงได้ยินแต่ใช่ว่ามันจะน่ายินดีปรีดาเมื่อเขารู้สึกราวกับว่าตนเองแก่หง่อมลงไปนับยี่สิบหรือสามสิบปีเมื่อนางเรียกขานเช่นนั้น
จริงอยู่ว่านางยังเยาว์กว่าเขาหลายปีนัก แต่เขาเองก็นับว่าเป็นบัณฑิตที่ยังหนุ่มยังแน่น ไม่เห็นว่าจะเหมาะกับคำเรียกขานว่าบัณฑิตเฒ่าตรงที่ใด
อีกทั้งมวลกล้ามก็ยังคงแน่นปึกไม่ได้หย่อนคล้อยด้วย
“ขืนเจ้ายังเรียกข้าเช่นนี้อีก ไม่นานข้าคงชราทันตาเฒ่าชุนหลี่ ท่านตาของเจ้า”
“ไม่ถึงเพียงนั้นหรอกเจ้าค่ะ” นางยิ้มร่า “ท่านตาของข้าอายุมากกว่าท่านหลายปีนัก”
“เจ้าจะบอกว่าท่านตาของเจ้าเฒ่ากว่าข้ามากนักงั้นหรือ”
“ความจริงก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วนี่เจ้าคะ”
เหลียนไช่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับท่าทางหยอกล้อของเสี่ยวป๋าย นางหัวเราะชอบใจออกมาเมื่อเขากล่าวถึงชายชรา
ชุนหลี่นับเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เขาเคารพนับถืออยู่ไม่น้อย หากแต่มันเป็นการนับถือที่แปลกประหลาดยิ่งนักสำหรับผู้พบเห็น ยามอยู่ในสำนักศึกษาเขาจะนอบน้อมต่อชายชราประหนึ่งเป็นใบ้ ท่าทางราวกับคนหูหนวกไม่ได้ยินคำตำหนิที่สาดใส่เอาเสียเลย
แต่ยามใดที่ก้าวเท้าพ้นอาณาเขตของสำนักศึกษาแล้วไซร้ เขากลับกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมาของตาเฒ่าชุนหลี่ทันที เจอกันเมื่อใดย่อมได้ปะทะฝีปากกันเมื่อนั้น แต่ไม่มีสักครั้งที่จะเกลียดขี้หน้ากันราวกับจะเป็นจะตายให้ได้
ชายหนุ่มก้าวขึ้นเรือนพลางปลดสัมภาระที่แบกมาวางลงกับชานเรือนหน้าห้องนอน เรือนของเขาแม้จะเล็กกว่าเรือนของเสี่ยวป๋ายอยู่โข แต่ก็แบ่งเป็นสัดเป็นส่วนมีทั้งห้องนอนของเขาและห้องนอนของแขกที่มาเยือนชัดเจน มีห้องอาบน้ำจนถึงครัวไฟพร้อมสรรพ ชายโสดอย่างเขาอยู่คนเดียวได้สบาย
“วันนี้เข้าป่าไปเก็บสมุนไพรมาหรือเจ้าคะ”
ชุนเสี่ยวป๋ายหันมองกระบุงเล็กที่เขาแบกมาด้วย ในนั้นมีพืชสมุนไพรอยู่หลายอย่างอย่างละนิดหน่อย มิน่าเล่าเขาจึงกลับเรือนช้านัก นางมานั่งอ่านตำรารอจนแทบจะเผลอหลับไปเสียแล้ว
“ใช่ ข้าว่าจะเอาไปขายที่ตลาดยาเสียหน่อย”
“คงได้ราคาดีเชียวเจ้าค่ะ พวกนี้หายากและต้องเข้าไปลึกแม้จะไม่ต้องปีนหน้าผาเพื่อเก็บมันแต่ก็ไม่ใช่ว่าหลายคนจะรู้ว่าควรต้องเก็บมันที่ใด”
นางมองสมุนไพรด้วยสายตาใคร่รู้ จริงอยู่ที่นางพอรู้ว่าสรรพคุณและหน้าตาของมันจากหมอซึ่งเคยไปรักษา แต่นางก็ไม่เคยดั้นด้นเข้าไปหาถึงในป่าเองสักครั้ง
“ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่เจ้าค่ะ” นางเอ่ยถาม
“เจ้าจะไปด้วยเหตุใด”
“ข้าจะไปช่วยท่านขายสมุนไพรอย่างไรเล่าเจ้าคะ” ชุนเสี่ยวป๋ายพูดเสียงมาดมั่น “ข้าเคยไปตลาดมาหลายรอบแล้วเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดก็เคยไปตลาด”
“โธ่...” นางยู่ปากเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ไปบ่อยๆหากท่านตาและท่านแม่รับรู้นี่เจ้าค่ะ”
นางกล่าวตามจริง ชุนหลี่และชุนเสี่ยวหงไม่อนุญาตให้เสี่ยวป๋ายได้ไปเดินเตร็ดเตร่ในตลาดเหมือนคุณหนูเรือนอื่น ด้วยกลัวว่าเหล่าพ่อค้าใจคดจะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากหลานสาวผู้ใสซื่อ
“แต่ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะว่าจะโดนท่านตาตำหนิหากข้าไปด้วย” เสี่ยวป๋ายรีบบอก “ข้าแอบท่านแม่และท่านตาไปเดินเล่นหลายรอบแล้วเจ้าค่ะ”
เคยแอบไปหลายรอบแล้วเช่นนั้นหรือ คำพูดนี้มันช่วยให้เขาไม่โดนตาเฒ่าชุนหลี่ต่อว่าได้อย่างไรกัน
“ไม่เคยโดนจับได้สักครั้งเลยนะเจ้าคะ ขอให้ท่านสบายใจได้”
เหลียนไช่ส่ายหน้าเบาๆอีกครั้ง เขาพยักหน้าเป็นเชิงตกลงและพูดประโยคที่ทำให้จิตใจของชุนเสี่ยวป๋ายลอยละลิ่วว่า
“เอาเถิด หากเจ้าจะไปก็ย่อมเดินไปด้วยกันกับข้าได้”