บท
ตั้งค่า

2. บัณฑิตเฒ่า

“วันนี้ท่านไม่เป่าขลุ่ยหรือเจ้าคะ”

ชุนเสี่ยวป๋ายวางขนมที่แอบนำติดมือมาจากเรือนลงบนโต๊ะหนังสือของเขา พลางก้มลงมองใบหน้าหล่อเหลาและหลบสายตาคมคู่นั้นด้วยท่าทีเขินอายของสาวแรกรุ่น ทว่าเหลียนไช่กลับทำเพียงแค่ปรายตามองกิริยานั้นอย่างไม่ใส่ใจ

“ปกติแล้วข้าเห็นท่านเป่าขลุ่ยทุกวัน” นางว่าต่อ “ท่านบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะเกินกว่าบัณฑิตคนไหนที่ข้าเคยพบมาเลยเจ้าค่ะ”

“คุณหนูชุน ข้าไม่ได้เก่งถึงเพียงนั้นหรอกขอรับ”

“ท่านอย่าได้ถ่อมตัวไปเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวป๋ายรีบพูด “หากท่านไม่เก่งดังว่า เห็นทีแคว้นนี้คงจะไม่มีผู้ใดเล่นได้ดีอีกแล้วเจ้าค่ะ”

ชุนเสี่ยวป๋ายเอ่ยเรื่องจริง นางแอบฟังเพลงที่บัณฑิตผู้เฒ่านี้บรรเลงมานาน เมื่อเทียบกับเหล่าคุณชายทั้งหลายแล้ววิธีเล่นของเขานั้นเหนือชั้นกว่ามาก ท่วงทำนองที่เป่าออกมาก็คล้ายว่ามีชีวิต มันไพเราะและเพลิดเพลินเป็นที่สุด

“เจ้ายังเด็กนัก” เขากล่าวเสียงนุ่ม

“ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะเจ้าคะ ข้าปักปิ่นแล้วเจ้าค่ะ”

เหลียนไช่ชำเลืองตามองเด็กสาวตรงหน้าและไม่ตอบสิ่งใด ด้วยวัยเพียงเท่านี้มองอย่างไรก็ยังอ่อนต่อโลกนัก กิริยาและวาจาช่างไร้เดียงสา เมื่อโตขึ้นแล้วคงจะรู้ความเอง

แม้เขาจะดูยากจนซอมซ่อถึงเพียงนี้ ทว่าเขาก็เคยเป็นถึง จิ่งหานอู่ตี้ อ๋องสิบเจ็ดผู้ที่กำลังจะขึ้นครองราชย์แทนอดีตจักรพรรดิซึ่งพ่ายแพ้เขาไป แต่ทว่าเขากลับเลือกจะยกบัลลังก์ให้แก่รัชทายาทองค์น้อยผู้มีศักดิ์เป็นเสมือนหลานของเขาครองราชย์แทน

ส่วนตัวเขาก็ปลีกวิเวกมาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลและเงียบสงบแห่งนี้ ใครต่อใครต่างก็ครหานินทาว่าเขาเป็นบัณฑิตที่ไร้ความทะเยอทะยานจนหาความก้าวหน้าในชีวิตไม่ได้ แต่เขาหาได้ใส่ใจคำพูดของใครไม่ เขาย่อมรู้ตัวดีว่าหากตนเองไร้ความทะเยอทะยานจริงดังใครว่าก็คงไม่อาจวางแผนชิงบัลลังก์มาได้แน่

เฉลียวฉลาด เยือกเย็น นั่นต่างหากคำพูดที่เขาเคยได้ยินมาตลอดยามอยู่ในวังหลวง ซึ่งนั่นช่างตรงข้ามกับยามอยู่ที่นี่โดยสิ้นเชิง

“ข้าเพียงอยากฟังท่านเป่าขลุ่ยเท่านั้นเองเจ้าค่ะ” ชุนเสี่ยวป๋ายเอ่ย

“วันนี้ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ”

นอกจากตำราแล้ว ขลุ่ยของเขาก็เป็นอีกหนึ่งสหายสนิทที่อยู่เคียงกายกันมาตลอด ยามว่างจากการอ่านตำราเขาก็มักจะเป่าขลุ่ยอยู่ผู้เดียว ด้วยบ้านของเขานั้นอยู่ท้ายหมู่บ้านติดกับชายป่า เสียงขลุ่ยของเขาจึงไม่รบกวนให้ระคายหูผู้ใด

เด็กสาวพยักหน้ารับรู้แต่โดยดีก่อนจะนั่งมองเขาอ่านตำราอยู่เงียบ ๆ แม้จะได้เพียงแค่นั่งมองแต่นางกลับไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยสักนิด ยิ่งยามเขานิ่งเขายิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นอย่างน่าประหลาดราวกับมีมนต์สะกดจนนางอดหวั่นไหวไม่ได้ทุกครา

“หนังสือเล่มนี้มาจากต่างแคว้นหรือเจ้าคะ” เสี่ยวป๋ายเอ่ยถามเมื่อก้มลงไปมองกองหนังสือที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ครั้นเมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าคงจะเป็นการรบกวนบัณฑิตเฒ่าจึงได้แต่สะดุ้งตกใจและรีบกล่าวขอโทษโดยพลัน

“ข้าขออภัยที่รบกวนเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นอันใดหรอก” เขาส่ายหน้า “เจ้าสงสัยหนังสือเล่มนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงนึกสงสัย” เขาลองถาม

“ข้าไม่เคยเห็นชื่อหนังสือในหอสมุดของเรือนมาก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวป๋ายตอบตามตรง “อีกทั้งสีของปกเองก็ดูเก่าเกินกว่าเล่มอื่น”

“เจ้าจึงอนุมานเอาว่าหนังสือเล่มนี้ต้องร่วมเดินทางมากับเหล่าพ่อค้าจากต่างแดนหรือ”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” นางพยักหน้า “มีคนเคยบอกข้าว่าบรรดาพ่อค้านั้นบางทีก็มักจะนำพวกหนังสือมาขายด้วย”

“เจ้าวิเคราะห์ได้ดีแล้ว” เขายกยิ้ม “แต่ต้องพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนกว่านี้เสียหน่อย”

“อ่า...” ชุนเสี่ยวป๋ายพึมพำตอบอย่างเลื่อนลอย นางถึงกับแก้มแดงระเรื่อเมื่อเขาแย้มรอยยิ้มให้แก่กัน แม้จะรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ที่มอบให้แก่เด็กเท่านั้นเองก็ตามที

“หนังสือเล่มนี้หาได้มาจากที่อื่นไม่ เนื้อหาโดยส่วนมากกล่าวถึงปัญหาของแคว้นเรา แม้จะดูเก่าราวกับว่าผ่านการเดินทางมาก็ตามที”

หากไม่นับยามที่เขาตัดรอนคำขอแต่งงานของนางแล้วนั้น เขาก็เปรียบเสมือนอาจารย์อีกคนที่เอ็นดูศิษย์นอกสำนักศึกษาอย่างนาง ไม่ว่านางจะถามสิ่งใดออกไป หากเขารู้ก็จะอธิบายและสอนให้นางฟังจนหายข้องใจ วันดีคืนดีเขาก็มีเรื่องมาเล่าให้นางฟังด้วย

โดยเฉพาะเรื่องเล่าจากการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของบัณฑิตเฒ่า มันคือสิ่งที่เสี่ยวป๋ายไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง ด้วยนางเกิดมาเป็นสตรีจึงย่อมถูกเลี้ยงดูให้อยู่กับเรือน ต้องเป็นศรีแก่ตระกูลไม่ให้อับอายขายหน้า ทว่านางกลับมีความฝันว่าอยากจะเดินทางไปยังต่างแคว้น อยากไปดูหลายสิ่งด้วยสองตาของตนเองดู

นางอยากทำการค้าเหมือนทางฝั่งบิดาเท่าที่จำความได้ ทว่าท่านตาของเสี่ยวป๋ายกลับคัดค้านอย่างเด็ดขาด เพียงเพราะมันคืองานที่ต้อยต่ำนักในความคิดของท่าน ไม่เคยมีผู้ใดในตระกูลชุนที่ทำการค้ามาก่อน บุรุษทุกคนต่างสืบทอดงานในสำนักศึกษาต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นทั้งสิ้น

‘ตระกูลของเราไม่เคยทำการค้า ตาไม่อยากให้หลานเป็นแบบกลุ่มคนร่อนเร่และหาความจริงใจไม่ได้เช่นพวกนั้น’

นั่นคือคำพูดของท่านอาวุโสในตระกูลที่พร่ำบอกหลานสาวเช่นนางเสมอมา

บิดาของนางทำการค้า ก่อนจะแต่งกับมารดาก็ไม่ค่อยถูกชะตากับท่านตาท่านยายเท่าไรนักเป็นทุนเดิม เมื่อบิดาของนางทำผิดมหันต์ด้วยการรับอนุเข้าเรือนเพราะผลประโยชน์ทางการค้าความสัมพันธ์ก็ยิ่งร้าวฉาน จนเมื่อบิดาตัดสินใจยกอนุภรรยาขึ้นมาเทียมหน้ามารดาที่เป็นฮูหยินเอกด้วยแล้วยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก

ญาติฝั่งบิดาของเสี่ยวป๋ายเห็นว่าทางครอบครัวฝั่งอนุค้ำจุนกิจการการค้าได้มากกว่าเจ้าสำนักการศึกษาอย่างครอบครัวของมารดา พวกเขาก็รวมหัวกับบีบให้ชุนเสี่ยวหงต้องหอบลูกกลับมาอยู่บ้านและหย่าขาดกับสามีแบบเป็นตายอย่าได้เผาผีกันอีก ท่านตาท่านยายต่างก็สาปส่งบิดาของเสี่ยวป๋าย แม้แต่เงาก็ห้ามทาบทับชายคาบ้านโดยเด็ดขาด

เมื่อโตขึ้นเสี่ยวป๋ายก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้คบสหายเป็นลูกพ่อค้าแม่ขายอีก ท่านตาประกาศกร้าวต่อหน้าสมาชิกในครอบครัวเสมอว่า

‘พวกพ่อค้าหาได้มีความจริงใจไม่ คิดแต่จะเอาเพียงผลประโยชน์เท่านั้น ข้าจะไม่มีวันให้หลานของข้าต้องคบค้ากับพวกเขาอีก’

ส่วนบัณฑิตเฒ่าแม้จะไม่ได้ทำการค้าอย่างที่ท่านตาเดียดฉันท์ แต่ก็ไร้ฐานะจะเชิดหน้าชูตาได้ เสี่ยวป๋ายจึงโดนสั่งห้ามไม่ให้ข้องแวะกับเขาโดยไม่จำเป็น

ทว่านางกลับชอบทุกอย่างที่เป็นเขาอย่างหาเหตุผลใดไม่ได้เลย ชอบลายมือที่สวยงามยากจะเลียนแบบของเขา ชอบใบหน้าของบัณฑิตเฒ่าที่ไม่ว่าจะมองมุมใด ยามมืดหรือยามต้องแสงก็หาตำหนิแทบไม่ได้

หากออกเรือนมีบุตรด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวหรือบุตรชายย่อมต้องได้ใบหน้าอันงดงามของเขามาด้วยเป็นแน่ ไหนจะสติปัญญาของเขาอีก แม้จะไม่ใช้บัณฑิตผู้มีชื่อเสียง ทว่าคนที่เป็นบัณฑิตได้ก็ย่อมฉลาดเฉลียวกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว...นั่นคือสิ่งที่เสี่ยวป๋ายปรารถนาเป็นที่สุด

“ท่านบัณฑิตเฒ่าเจ้าคะ...”

“ว่าอย่างไรหรือ”

ได้โปรดแต่งกับข้าเถิดเจ้าคะ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel