ตอนที่ 4
“ข้อนั้นแม่ไม่รู้ แต่ยายริน…ฟังแม่นะ ในฐานะที่แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน แม่จะบอกอะไรให้ เรื่องเจ้าชู้กับผู้ชายมันเป็นของธรรมดานะลูก ผู้ชายไม่เจ้าชู้สิแปลก คบหาแล้วค่อยปรับเปลี่ยนกันไป ที่พจน์เจ้าชู้เพราะคงเห็นว่าตัวเองยังโสด ผู้ชายก็ยังงี้แหละ บางคนก็หยุดเจ้าชู้หลังจากมีคู่ครองเป็นตัวเป็นตน ดูอย่างพ่อแกสิ ก่อนแต่งงานกับแม่ก็เจ้าชู้ใช่ย่อย แต่พอหลังจากอยู่กินกับแม่ ก็ไม่เคยวอแวกับผู้หญิงคนไหนให้แม่ต้องช้ำใจ”
“หนูเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิคะ ว่าผู้ชายอย่างพ่อยังเหลืออยู่ในโลกนี้”
“โลกนี้ไม่มีคนสมบูรณ์พร้อมหรอกนะ”
มีความอ่อนอกอ่อนใจผุดขึ้นในน้ำเสียงของอรดี หนักใจเหลือเกินกับความดื้อดึงของลูกสาวคนนี้
รินนรีสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพจน์ เขาเป็นรุ่นพี่เธอสามปี ตอนเจอกันครั้งแรก พจน์กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ของคณะนิเทศน์ศาสตร์ ขณะที่เธอเพิ่งเข้าไปเป็นเฟรชชี่ของคณะมัณฑนศิลป์
ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ รินนรีกับพจน์ยังไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว พจน์เองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจในตัวเธอออกมาแต่อย่างใด จะด้วยเหตุผลของความทะนงตน ชอบให้ผู้คนเข้าหาเขาก่อน หรือความหยิ่งลำพองว่าเป็นลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดังก็ไม่ทราบได้
เรื่องราวของพจน์ที่ลอยมาเข้าหูของรินนรี ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น ‘ชื่อเสีย’ มากกว่า “ชื่อเสียง” ในทางดี เพราะนอกจากเสียงเลื่องลือเล่าอ้างถึงฐานะอันร่ำรวยและหน้าตาอันหล่อสำอาง เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาวๆในมหาวิทยาลัย พจน์ก็ยังมีเรื่องเสียๆ หายๆ อีกมากมายตามมาในทำนองที่ว่าเขาเจ้าชู้ แต่ก็เลือกมาก เขาคบใครได้ไม่นาน และยังไม่มีใครเห็นว่าเขาจะตัดสินใจคบผู้หญิงคนไหนเป็นตัวเป็นตนเสียที
“ถ้ามีเวลา…แม่กะว่าจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยสมพงษ์สักหน่อย แกไปกับแม่นะ”
ประโยคนั้นไม่เพียงแค่ชวน แต่มีนัยถึงการบังคับ คนที่เป็นลูกสาวตารู้สึกหน้าตึงขึ้นมาในทันที รู้ชัดในความหมายของผู้เป็นมารดา แม้อรดีไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆ
“แม่คะ…อย่ากดดันหนูได้ไหมคะ หนูไม่อยากไปค่ะ”
รินนรีสะบัดน้ำเสียงอย่างเหลืออดด้วยความลืมตัว ไม่ได้ระมัดระวังถ้อยคำเท่าที่ควร เหมือนรู้ว่าการทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอกับมารดา และดูเหมือนว่าครั้งนี้กำลังจะหลีกเลี่ยงได้ยากอีกเช่นกัน
“ดื้อรั้นที่สุด…ที่แม่ทำทั้งหมดนี้ก็เพราะห่วงอนาคตของแก”
อรดีเดือดปุดๆ ด้วยความโกรธ เสียงเครืออยู่ในลำคอคล้ายจะร้องไห้ เหนื่อยใจที่จะโน้มน้าวกันอีกต่อไป มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะทิ้งความพยายามลงง่ายๆ กับเรื่องนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อนึกถึงปัญหาและภาระที่เป็นแรงผลักดันอยู่ข้างหลัง ภาระที่ลูกสาวของเธอไม่เคยรู้
“แม่ไม่ต้องห่วงอนาคตของหนูหรอกค่ะ…ตอนนี้หนูมีงานทำ มีเงินเดือน แม้จะไม่มากมาย แต่ก็พอเลี้ยงตัวได้” เธอให้เหตุผล แม้จะฟังดูว่าปีกกล้าขาแข็งเสียเหลือเกินในความรู้สึกของคนฟัง
“แกมันอวดดีเหมือนพ่อของแกไม่มีผิด”
อรดีพยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้น แต่เป็นเพราะอารมณ์โกรธที่พาไป จึงต้องกระทบกระเทียบไปถึงศักดาอย่างอดไม่ได้ เหมือนลืมไปว่าคนที่ถูกกล่าวถึงกำลังนอนป่วยหนักอยู่บนเตียงด้วยอาการอัมพาต อยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งรับรู้ปัญหาใดๆ ของครอบครัวได้อีกแล้ว อรดีจึงเครียดจัด ในวันที่เธอรู้สึกว่าภาระทั้งปวงกำลังตกอยู่กับเธอแต่เพียงผู้เดียว
“แม่คะ…ดึกมากแล้วนะคะ หนูอยากพัก พรุ่งนี้หนูต้องทำงาน เรื่องพจน์…หนูขอคิดดูก่อนนะคะ”
หญิงสาวเสียงอ่อนลงในที่สุด รู้สึกผิดอยู่ในใจ เมื่อได้ยินเสียงของมารดาที่ฟังดูคล้ายว่ากำลังคร่ำครวญร้องไห้ แว่วคลอมาทางโทรศัพท์ แม้อรดีจะเป็นแม่ผู้เจ้ากี้เจ้าการในบางเรื่อง ขี้บ่นบ้างในบางครั้ง หรือแม้แต่ปากร้ายในบางอารมณ์ แต่รินนรีก็เข้าใจได้ถึงเหตุผลของผู้เป็นมารดา ยืนยันด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ มารดาคนนี้ก็เอาใจใส่ดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง รักและห่วงใยเธอเสมอมา
“อย่าคิดนานนะลูก…แกรู้บ้างหรือเปล่าว่าทุกวันนี้…”
กล่าวไม่ทันจบประโยคตามที่ตั้งใจจะเอ่ย อรดีก็หยุดเสียก่อน รู้สึกเหมือนมีก้อนความเศร้าเคลื่อนขึ้นมาจุกจ่ออยู่ในลำคอ จากนั้นก็มีเสียงสะอื้นตามมา เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ว่า หากจะเป็นใครสักคนที่ต้องกลัดกลุ้มกับการแบกรับภาระหน้าที่ของครอบครัว ในช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังทดสอบเธอด้วยอุปสรรคอันหนักหนาสากรรจ์เช่นทุกวันนี้…ก็ควรจะเป็นเธอ…ไม่ใช่ลูกสาว
“แม่กำลังจะบอกอะไรหนูคะ”
ประโยคที่อรดีกล่าวออกมาไม่ทันจบ แล้วก็หยุดค้างเอาไว้ ปล่อยให้มันขาดหายไปกับเสียงสะอื้น กลับยิ่งกระตุ้นความสงสัยของรินนรีจนต้องเอ่ยถาม นึกสังหรณ์ใจว่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะโดยปกติ แม้ว่าจะเคยทุ่มเถียงกันในลักษณะนี้อยู่บ่อยๆ แต่ผู้เป็นมารดาก็ไม่เคยร้องไห้
“ช่างเถอะ…” อรดีปาดน้ำตา รีบเฉไฉไปเสียอีกทาง พยายามจะปัดเรื่องร้องไห้ ให้พ้นไปจากความสนใจของลูกสาว
“แม่ร้องไห้ทำไมคะ” น้ำเสียงอ่อนโยน ถามอย่างห่วงใยและสงสัย