ตอนที่ 3
แม้จะขอบคุณเขา ทว่าน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจเล็กๆ ก็ทำให้คนฟังรับรู้ได้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขาอย่างจริงจัง หากเป็นการประชดประชันเสียมากกว่า เธอจึงเดินจากมาอย่างไม่อินังขังขอบต่อเสน่ห์อันร้ายกาจของเขา แม้ต้องฝ่าสายฝนที่กำลังโปรยปรายออกมาเรียกรถแท็กซี่
ริมฟุตบาทชื้นไปด้วยคราบน้ำ เธอยืนรอรถเพียงชั่วอึดใจสั้นๆ แสงไฟจากดวงโคมหน้ารถแท็กซี่สีเขียวเหลืองคันหนึ่งสาดเข้ามาตรงที่เธอยืน เลียบเข้ามาจอดเทียบข้างฟุตบาท หญิงสาวเปิดประตู ชะโงกหน้าเข้าไปถามโชเฟอร์สองสามคำ แล้วพาเรือนร่างแบบบางเข้าไปทรุดกายลงนั่งที่เบาะด้านหลัง
ไม่ทันที่รถแท็กซี่คันนั้นจะแล่นลับไปจากสายตา เสียงโห่แซววีดวิ้วจากสองหนุ่มผู้เป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต ‘กันย์’ กับ‘ตุลย์’ ที่ยืนหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ แอบลุ้นสถานการณ์อยู่เงียบๆ ว่า ‘สิงห์’ ผู้เป็นน้องชายคนสุดท้อง จะหิ้วสาวสวยคนเมื่อครู่ไปขึ้นเตียงได้สำเร็จหรือไม่ ก็ปรากฏตัวออกมา
“ยะฮู้ว...เอามาซะ ดีๆ” กันย์ซึ่งเป็นคนชนะเดิมพันเอ่ยขึ้นก่อน ทำทีเท้าสะเอว แบมือขอนาฬิกาโรเล็กซ์เรือนหรูซึ่งเป็นสิ่งเดิมพันว่าสิงห์จะเผด็จศึกสาวสวยเมื่อครู่ได้สำเร็จหรือไม่? น้องชายคนสุดท้องทำหน้าเซ็งจัด เขาทำพลาดอย่างหมดรูป ถ้าพูดถึงชั้นเชิงในเรื่องจีบสาว เขาเป็นรองพี่ชายทั้งสองคนอยู่มาก จำใจต้องถอดนาฬิกา ยื่นให้พี่ชายคนกลางด้วยสีหน้าผิดหวัง
กลับมาถึงคอนโด ภายหลังจากถอดเสื้อผ้าที่ชื้นไปด้วยน้ำฝน หญิงสาวทิ้งร่างรัดรึงที่เหลือเพียงชุดชั้นใน ลงไปกลางเตียงนอนนุ่มด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า สองมือประสานอยู่ใต้อก ดวงตาเบิกโพลง นิ่งมองเพดานในอาการครุ่นคำนึงถึงสิ่งที่ผ่านมา น่าแปลกที่เธอกลับไม่ได้รู้สึกโกรธพจน์อย่างที่ควรจะเป็น แน่ละสิ!...เพราะว่าเธอไม่ได้รักเขาเลยแม้แต่น้อยนิด ความจริงข้อนี้ยังตอกย้ำอยู่ในใจชัดเจน แต่ที่ต้องมาคบหากัน ก็เพราะความจำเป็นบางอย่าง
หญิงสาวยังจดจำได้ดี ถึงการสนทนากับผู้เป็นมารดาในคืนหนึ่ง
“หนูจำเสี่ยสมพงษ์ได้ไหมจ๊ะ”
อรดีเอ่ยกับลูกสาวทางโทรศัพท์ เธอโทรมาจากกาญจนบุรี ในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง ราวกับว่ามีธุระสำคัญ เร่งด่วนจนทำให้รอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้
“จำได้ค่ะ” คนเป็นลูกสาวพยักหน้าอยู่ปลายสาย นึกสงสัยในธุระร้อนของผู้เป็นมารดาว่าเหตุใดจึงได้โทรมากลางดึก เพราะทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางดึก มันทำให้อดเป็นกังวลไม่ได้ทุกครั้งไป ว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับทางบ้าน
รินนรีรู้ดีว่าตอนนั้นบิดาของเธอกำลังป่วย แต่กลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เพราะว่าธุระร้อนที่ทำให้มารดาต้องโทรมากลางดึก ภายหลังจากที่พยายามข่มตาหลับ กระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอนมาพักใหญ่ๆ กลับเป็นเรื่องที่เธอไม่คาดคิด แม้ว่าผู้เป็นมารดาจะเคยเกริ่นเรื่องนี้เอาไว้ก่อนหน้า แต่นั่นก็นานมาแล้ว
“เมื่อวานเสี่ยสมพงษ์แวะมาหาแม่”
คนเป็นแม่เกริ่นอย่างระมัดระวังถ้อยคำ หวังให้การสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด ไม่อยากให้คนฟังตกใจจนเกินไป ไม่อยากให้มันสะดุดลงด้วยการทุ่มเถียงกันเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
“แล้วยังไงคะ” หญิงสาวแสร้งทำน้ำเสียงไม่สนใจ เธอไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ใดๆ หากน้ำเสียงที่ค่อนข้างระมัดระวังของมารดา ก็ทำให้เธอเดาได้ในทันทีว่า ‘เรื่องอะไร?’ ที่ผู้เป็นมารดาพยายามจะบอกอยู่ในขณะนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อรดีพูดเรื่องนี้กับเธอ
“พจน์ถามถึงหนูด้วย”
“แล้วทำไมต้องถามถึงหนูด้วยล่ะคะ”
รินนรีแกล้งถามมึนๆ กลับไป เสียงราบเรียบจนเกือบจะเย็นชา
“ยายริน…แม่คิดว่าเราคุยกันเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว ไม่เข้าใจว่าแกจะตั้งแง่กับพี่เขาไปถึงไหน”
อรดีเสียงแหวขึ้นมาทันทีด้วยความลืมตัว เมื่อจับกระแสเสียงดื้อดึงของลูกสาวได้ ‘พี่’ ที่อรดีกล่าวถึงก็คือ ‘พจน์’ ผู้เป็นลูกชายของเสี่ยสมพงษ์ อดีตนักธุรกิจชื่อดังผู้หวังจะหันมาเอาดีทางการเมืองกับการเลือกตั้งระดับประเทศครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“แล้วไงคะ”
เสียงตวาดแว๊ดของแม่ ทำให้ผู้เป็นลูกสาวถามย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงหน่ายเนือย
“แม่ก็เห็นว่าหน้าตาเค้าก็หล่อเหลา หน่วยก้านก็สูงใหญ่ การพูดการจาก็ดูน่าเชื่อถือ และที่สำคัญตระกูลนี้ร่ำรวยมาก แล้วเสี่ยสมพงษ์ก็มีทั้งรีสอร์ต ทั้งโรงแรมที่กรุงเทพฯ ถ้าแกขืนมองข้ามผู้ชายคนนี้ก็โง่ตาย” อรดีสาธยายพร้อมสรุปไปในตัว
“หนูยอมโง่ตายค่ะ” คนที่หน้างออยู่ปลายสายเถียงคำไม่ตกฟาก
“ยายริน…” อรดีกระแทกน้ำเสียงกลับไปอย่างเหลืออด
“แม่ไม่รู้อะไร…” รินนรีเอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงถอนใจ
“แล้วอะไรของแก่น่ะ…มันอะไรล่ะ?”
“นายพจน์ที่แม่กำลังสรรเสริญเยินยอ คนที่แม่อยากได้มาเป็นลูกเขยนักหนา แท้ที่จริงแล้วลื่นยังกับปลาไหล ทำไมหนูจะไม่รู้ล่ะคะ แม่คงลืมไปกระมังว่ารินเคยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขานะคะ เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยเขาลือกันให้แซ่ด”