ตอนที่ 3
แฟรงค์สบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย นึกในใจว่าจวนจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว
การมาของแมรี่ทำให้เขารีบผละออกมาจากร่างของซูซานด้วยความรู้สึกแสนเสียดาย คว้ากางเกงขึ้นสวม เช่นเดียวกับซูซานที่รีบคว้าเสื้อขึ้นมาใส่ สางผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง ขณะเสียงฝีท้าวม้าดังใกล้เข้ามาทุกที
“ซูซาน… มาทำอะไรอยู่ตรงนี้… ”
แมรี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรถม้า เมื่อสุดแนวทางดิน เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นหนุ่มสาวกำลังยืนอ้อยอิ่งมองดูพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า
“มาดูพระอาทิตย์ตกดิน กะ… กำลังจะกลับอยู่พอดี”
ซูซานตอบตะกุกตะกัก ทั้งที่พยายามทำสุ้มเสียงให้ปกติที่สุด ท่าทางของแมรี่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ด้วยทิวทัศน์บริเวณนั้นสวยงามพอที่จะเอามาเป็นข้ออ้างถึงสาเหตุที่เธอหายมากับแฟรงค์พักใหญ่ๆ
แฟรงค์ทักทายแมรี่สองถามคำ คุยกันเรื่องงานวิวาห์ที่กำลังจะมาถึงในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นซูซานก็ล่ำลาคนรัก แล้วเดินทางกลับไปพร้อมกับพี่สาว
ตอนใกล้ค่ำ ที่ตลาดในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของรัฐอาริโซน่า แมรี่แวะเข้ามาซื้อข้าวของด้วยตัวเอง เตรียมเอาไว้ใช้สำหรับงานแต่งแบบสายฟ้าแลบของน้องสาวที่กำลังจะมาถึงในสัปดาห์หน้า
“ราอูลไปไหนเสียล่ะ… ไม่ได้มาด้วยหรอกรึ”
แอนนา หญิงวัยกลางคนร่างท้วม เจ้าของร้านขายของชำในตลาด เอ่ยถามกับแมรี่ ทันทีที่เห็นว่าวันนี้เธอแวะมาซื้อข้าวของด้วยตัวเอง
แมรี่ซึ่งกำลังหิ้วของพะรุงพะรังเอาไปใส่ไว้ที่ด้านหลังรถม้าหันมาตอบเบาๆ
“รายนั้นอย่าไปถามถึง ป่านนี้คงเมาหลับอยู่ที่บาร์เหล้า หรือไม่ก็บ่อนคาสิโนที่ไหนสักแห่ง”
แมรี่กล่าวถึงสามีของเธอด้วยน้ำเสียงซึ่งฟังดูหน่ายเนือยเสียเหลือเกิน คงเป็นเพราะว่ารู้สึกปลดปลงที่จะเคี่ยวเข็ญให้คนอย่างราอูลลุกขึ้นมาทำงานเหมือนเมื่อก่อน
หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนร่างกายพิกลพิการ ราอูลก็เกิดอาการเครียดจัด เก็บเนื้อเก็บตัวจนเกือบเป็นโรคซึมเศร้า ก่อนจะหันไปพึ่งสุราจนเลิกไม่ได้ หนำซ้ำยังติดการพนันงอมแงม
การงานในฟาร์มซึ่งราอูลควรจะรับผิดชอบ กลับปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแมรี่เป็นคนรับผิดชอบดูแลแต่เพียงลำพัง ปล่อยให้ภาระในครอบครัวหลายๆ อย่าง ตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของแมรี่และซูซานซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาของเธอที่อาศัยอยู่รวมกันในฟาร์มเล็กๆ แห่งนี้
“งานแต่งซูซานวันมะรืนแล้วละสิ”
แอนนาเอ่ยพลางแสดงน้ำใจด้วยการช่วยหิ้วข้าวของไปใส่เอาไว้ที่หลังรถม้า
“ขอบใจจ้ะ… วันเสาร์ถ้าว่างก็เชิญที่โบสถ์”
แมรี่บอกยิ้มๆ จากนั้นร่างบอบบางก็กระโดดขึ้นรถม้าด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมง มือเรียวกระตุกบังเหียนเบาๆ รถเคลื่อนออกไปสู่เส้นทางที่มุ่งหน้ากลับบ้าน
แอนนามองส่งจนรถม้าลับไปจากสายตา ตอนนั้นแมรี่หารู้ไม่ว่ามีม้าตัวหนึ่งพร้อมด้วยชายร่างสูงใหญ่คร่อมขี่อยู่บนหลัง กำลังควบตะบึงมาตามทิศทางเดียวกับเธอ แท้จริงกำลังติดตามเธอไปติดๆ
ครู่ใหญ่ๆ ต่อมา
เมื่อรถม้าของแมรี่วิ่งมาถึงทางโค้ง ถนนช่วงนั้นขนาบแน่นไปด้วยทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่าม ชายบนหลังม้าที่กำลังไล่ตามมาห่างๆ พยายามเร่งฝีเท้าม้าเข้ามาใกล้
เพราะต้องบรรทุกข้าวของซึ่งหนักกว่า ทำให้รถม้าของแมรี่เสียเปรียบ ชายปริศนาแซงขึ้นหน้าไปอย่างง่ายดาย
“พระเจ้าช่วย… ”
แมรี่อุทานออกมาด้วยความตกใจมาก รถม้าของเธอเบรคเอี๊ยด ร่างสูงใหญ่ที่คร่อมอยู่บนหลังม้ากระตุกบังเหียนให้ม้าหันกลับมาเผชิญหน้ากับรถม้าของเธอ
ม้าตัวใหญ่ยกเท้าหน้าทั้งสองข้างขึ้นเตะไปกลางอากาศสองสามที ร้องฮี้อย่างคึกคะนอง ฝุ่นสีแดงคละคลุ้งเป็นบริเวณกว้าง จากนั้นปืนในมือของเขาก็เล็งมาที่ร่างของเธอ
“อย่า… ”
แมรี่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก สายตาหวาดหวั่นเหลียวมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก ภาวนาในใจว่าขอให้มีใครผ่านมาทีเถอะ หากแต่คำวิงวอนของเธอกลับไม่เป็นผล ในคลองสายตาพบแต่ทุ่งข้าวสาลีเวิ้งว้าง ร้างไร้ผู้คนสัญจรผ่านไปมา ด้วยคนในเมืองนี้รู้ว่าเส้นทางสายนี้ค่อนข้างเปลี่ยว มีเหตุการณ์จี้ปล้นเกิดขึ้นบ่อยๆ
แมรี่อดนึกถึงคำพูดของน้องสาวขึ้นมาไม่ได้ ตอนที่เธอฝากลูกๆ เอาไว้ให้ช่วยดูแล ซูซานร้องเตือนว่าใกล้ค่ำแล้วไม่ควรออกมา รอให้รุ่งเช้าเสียก่อนจะดีกว่า เพราะเมื่อหลายวันก่อนก็เพิ่งมีข่าวว่ารถม้าถูกดักปล้นกลางทาง แต่แมรี่ก็ดื้อรั้น ไม่คาดคิดว่าเรื่องเลวร้ายนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ
“ลงมา… ”
น้ำเสียงกระด้างและเยือกเย็นจนรู้สึกได้ ทำให้แมรี่จำต้องก้าวลงจากรถม้าในที่สุด
“ในรถมีอะไร”
เขาถามเสียงเหี้ยม ชี้ปลายกระบอกปืนไปที่ด้านหลังของรถม้า ตอนนั้นแมรี่ยังไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้หมวกคาวบอยปีกกว้าง เขาคาดผ้าเอาไว้ครึ่งใบหน้า
“มีแค่ขนมปัง อาหาร แล้วก็ของใช้ของผู้หญิง”
แมรี่พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ เธอรู้ชัดแล้วว่านี่คือการปล้นอย่างไม่ต้องสงสัย ชายร่างสูงใหญ่เฉียดสองเมตรโดดลงจากหลังม้า ก้าวอาดๆ เข้ามาหาเธอ
“อย่า… ดะ.. ได้โปรดอย่าทำอะไร ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีเงินไม่มาก แกอยากได้อะไรก็เอาไป”
แมรี่ชำเลืองแลไปที่หลังรถม้า หากแต่สายตาคมกริบของโจรยังคงจับจ้องอยู่กับเรือนร่างเย้ายวนของเธอไม่วางตา ไม่มีทีท่าว่าสนใจข้าวของแต่อย่างใด แต่กลับสืบเท้าเข้าไปจนใกล้กับร่างบอบบางของเธอที่ถอยร่นจนแผ่นหลังชนเข้ากับรถม้า
“อย่านะ… แกต้องการอะไร”
แมรี่ทำใจดีสู้เสือ ถามทั้งเสียงสั่นพร่า
“ปล้นสวาท”
เพียงเท่านั้นเอง ปลายเท้าของแมรี่ก็ขยับพร้อมจะวิ่งหนี หากแต่ช้ากว่ามือใหญ่ของโจรที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเธอเอาไว้เสียก่อน
“แมรี่… ”