บทที่ 5 เผาบ้าน
ไก่ในเล้าทางทิศตะวันตกของบ้านขลุ่ย ส่งเสียงขัน รับกัน ส่งต่อไปถึงบ้านคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ห่างกันแต่สัญญาณของรุ่งสางไม่มีวันห่าง จะอยู่ตรงไหน ไก่ก็เป็นนาฬิกาปลุกชั้นเยี่ยมของทุกบ้าน กำไลตื่นเช้าเช่นทุกวัน หุงหาอาหารเตรียมสำรับสำหรับตัวเองกับสามี ลูกๆ มีเย้ามีเรือนแยกย้ายไปอยู่บ้านสามี บ้านภรรยากันหมด หล่อนกับขลุ่ยอยู่ตามลำพัง ดำรงชีวิตตามวิถีของคนชนบทของหล่อน
ขลุ่ยตื่นขึ้นมาล้างหน้า รู้สึกมีบางอย่างติดอยู่ในใจ ค่อนสว่างเขายังหลับสนิทขณะกำไลลุกออกมาทำหน้าที่แม่บ้านของหล่อน เขาได้ยินเสียงเรียกให้ช่วย เสียงแว่วดังบ้าง เบาบ้าง เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดโหยหวน เขาสะบัดศีรษะแรงๆ ล้างหน้าอีกครั้ง
“แม่กำไล เช้ามืดได้ยินเสียงอะไรไหม เหมือนเสียงคนร้องให้ช่วย ได้ยินไหม”
“ไม่นี่พี่ ได้ยินเสียงไก่แค่นั้นแหละ มีอะไรหรือพี่ พี่ได้ยินหรือ ฝันไปหรือเปล่า”
กำไลมองสามี เขาฝันไปมากกว่า หล่อนตื่นนอนเห็นเขายังหลับสนิท อาจได้ยินในความฝัน หากมีคนขอความช่วยเหลือ หล่อนต้องได้ยิน
“อือ น่าจะใช่ เออ เดี๋ยวพี่ไปดูพี่เคลือบก่อน เมื่อวานอาการแกไม่ดีเลย ให้ยาไว้กินไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน”
“พี่เคลือบแกเป็นมากหรือพี่”
“ฮื่อ ฝีในท้อง น่าจะถึงขั้นแตก มันก็เลยสำแดงฤทธิ์ให้เจ็บปวดทรมาน พี่ไปดูแกหน่อย ประเดี๋ยวจะกลับมากินข้าว ว่าจะไปดูนาสักหน่อย ฝนตกเมื่อคืนนี้หนักมาก น้ำล้นคันนาแล้วมัง”
“จ้ะ ฉันไปด้วยพี่”
ขลุ่ยมองหน้าภรรยา สายตาหวานฉ่ำเมื่อคิดถึงเมื่อคืน ฝนลมแรง ฝนกระหน่ำแรงทำให้เขามีความปรารถนาในตัวภรรยา เขาเข้าครอบครองเรือนร่างเปลือยเปล่าของหล่อนอย่างมีความสุข พาหล่อนให้สมสุขไปกับเขาด้วย หล่อนสบตาสามียิ้มเขินหาย หลบสายตาหวานนั้นหันเข้าครัวเตรียมปรุงอาหารเช้าต่อ ขลุ่ยเดินลงบ้าน ใบหน้าอิ่มเอมสุข
ฝนตกตามฤดูกาล บางวันตกมาก บางวันตกน้อยซึ่งชาวบ้านนางามเตรียมตัวรับน้ำฝน ทั้งทำนา ทั้งเก็บไว้กินยามฝนแล้ง คนที่มีบ่อดินไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก กินน้ำจากบ่อดินสะอาดเช่นเดียวกับน้ำฝน หลายบ้านมีบ่อดิน น้ำในดินกลั่นกรองหลายชั้นดินกว่าจะซึมออกมาให้ชาวบ้านได้ดื่มกินและใช้ในครัวเรือน
น้ำฝนตกเมื่อคืนเจิ่งนองไปทั่วท้องนา ต้นกล้าปักดำในท้องนาตั้งยอดชูเขียวขจี ได้รับน้ำฝนชุ่มฉ่ำยิ่งสดเขียว ปลาในนาร่าเริงจนหยุดอยู่ในอันนากว้างไม่ได้ ว่ายหนีพ้นคันนาไปตามน้ำหลาก ลงสู่หนอง คลอง บึงใกล้ท้องนา ชาวบ้านบางคนแข่งสายฝนมาดักปลาเวลาปลาหนีน้ำเดิม ว่ายหาน้ำใหม่ ส่วนใหญ่รอให้ฝนซาเม็ดจึงออกมาดูปลาซึ่งเวลาฝนซาเป็นเวลาที่ปลามักจะแหวกว่ายหนีน้ำเก่าในนาบ้าง แอ่งน้ำเล็กๆ บ้าง เพื่อไปหาน้ำใหม่ในที่ๆ ใหญ่กว่าที่เดิม
ขลุ่ยเดินมองน้ำเต็มท้องนาใกล้ทางและไกลออกไปยาวลิ่วสุดสายตา ไม่ใช่นาของเขาคนเดียวแต่เป็นนาของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน มีที่นาติดต่อกันยาวเหยียด ทุกบ้านใช้วิธีดำนาแทนการหว่าน การดำทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ก่อใหญ่รวงหนา ไม่ล้มง่าย ชาวนาโบร่ำโบราณจึงมักทำนาดำมากกว่าทำนาหว่านซึ่งผลผลิตที่ได้กลับมาต่างกันพอสมควร
“น้ำเจิ่งเลยโว้ย เมื่อคืนตกเกือบทั้งคืน”
น้ำเจิ่งเต็มผืนนากว้างยาว มองผิวเผินเหมือนไม่มีต้นข้าวตั้งกออยู่ใต้น้ำ ขลุ่ยเดินมองน้ำไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่งจึงละสายตาจากผืนน้ำก้มมองทางเดิน พลันสายตาสะดุดกับผ้าลายสก๊อตซึ่งโผล่ปริ่มน้ำบนทางเดิน เขาก้มลงหยิบผ้าขึ้นมาดูใกล้ๆ
“ใครมาทำผ้าขาวม้าตกไว้วะ เอ คุ้นๆ ว่ะ”
เขาคลี่ผ้าชุ่มน้ำออก เห็นผืนผ้าเต็มผืนจึงจำได้ว่าเป็นผ้าขาวม้าของเดช
“ของไอ้เดช ทำไมหล่นอยู่ตรงนี้ล่ะหรือเมื่อคืนมันมาตามเรา เราปิดบ้านก็เลยไม่เรียก พี่เคลือบเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย”
คำพูดคนเดียวหยุดลงเมื่อคิดถึงเคลือบ ขลุ่ยเดินเร็วกว่าเดิม วิ่งบ้าง เดินบ้าง ใจหายจนขนลุก คราวนี้เขาออกวิ่งทันทีและเมื่อเข้าเขตรั้วบ้านเคลือบ หัวใจของเขาเต้นรัว ภาพตรงหน้าที่เห็นเขาแทบไม่อยากเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในคืนฟ้ารั่ว
ขลุ่ยเช็ดน้ำตา ความเข้มแข็งของลูกผู้ชายมันเลือนไปจากใจชั่วขณะหนึ่ง ร่างดำเป็นตอตะโกสองร่างนอนต่อกัน ร่างหนึ่งนอนอยู่ตรงที่นอนของเคลือบ อีกร่างนอนอยู่ปลายเท้าเคลือบ มือข้างขวาของร่างปลายเท้าเหยียดยาวติดอยู่กับเท้าร่างบนที่นอนเคลือบ
หนุ่มใหญ่กวาดสายตาไปรอบๆ เดินไปส่วนที่เป็นห้องนอนของเดชกับสไบ ในนั้นไม่มีร่างดำตะโกของใคร ไม่มีร่างเล็กๆ 2 ร่าง ไม่มีร่างของผู้ใหญ่ ขลุ่ยลุกขึ้นยืน ป้ายน้ำตาออกจากแก้ม
“ไอ้เดช หายไปไหน มันไม่อยากดูแลคนป่วยหนักอย่างพ่อตามันถึงขั้นฆ่าพ่อตา ฆ่าเมีย เผาบ้าน พาลูกหนีทีเดียวรึ ทำไมมันชาติชั่วอย่างนี้วะ อย่าให้กูเจอมึงนะไอ้เดช กูนี่แหละจะเอาเลือดชั่วของมึงมาล้างตีนกู”
เขาขว้างผ้าขาวม้าของเดชลงพื้น ใบหน้าเครียดเข้ม เดชหายไปพร้อมลูกน้อย นี่เป็นสาเหตุให้ขลุ่ยคิดด้านลบกับเดช หากใครมาพบสภาพที่ขลุ่ยพบก็ต้องโกรธแค้นและคิดไปในทางเดียวกับขลุ่ย เดชเป็นคนเลวร้าย เป็นคนชั่ว ไร้สำนึกในบุญคุณคน เป็นคนใจคอโหดเหี้ยม ความรัก ความเมตตาของทุกคนในหมู่บ้านนางามที่มีต่อเดชหมดลงในพริบตา