บทที่ 3 ครั้งสุดท้าย
“โอ๋ ลูกแม่ ไม่เป็นไรลูก แม่อยู่นี่นะจ๊ะ แม่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้วจ้ะลูก แม่อยู่นี่แล้วจ้ะ”
ขณะเดียวกันเดชวิ่งเข้ามาช่วยอุ้มลูกชาย เม็ดฝนกระหน่ำลงมาทันทีหลังเสียงฟ้าร้อง เคลือบผวาตื่น เขายันกายลุกนั่งสวดมนตร์ตามที่เคยทำเมื่อฟ้า ฝน ลม แรงพัดเป็นควันถาโถมใส่เรือนหลังเล็กของเขา
เขาสวดมนตร์ยังไม่ทันจบบท อาการปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรงจนต้องงอตัวร้องออกมา ความเจ็บปวดเช่นเข็มนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงอยู่ในท้อง
“โอย โอย โอย โอ๊ยยยย...”
เดชได้ยินเสียงพ่อภรรยา เขาวางลูกชายบนเบาะแล้ววิ่งออกมาหาเคลือบ ร่างผู้สูงวัยค้อมตัวคุดคู้บนเสื่อเก่าๆ เขาประคองเคลือบให้ลงนอน
“พี่เดช พ่อเป็นอะไร”
“ไม่ต้องออกมานะสไบ พี่กำลังจะเอายาให้พ่อกิน อีกประเดี๋ยวพ่อก็หาย อย่าออกมานะ”
เดชสั่งภรรยาเสียงดังแข่งกับเสียงฝน หล่อนอยากออกมาดูพ่อแต่เป็นห่วงลูก หล่อนให้ลูกดื่มนมคนละข้าง เด็กน้อยดูดดื่มนมอย่างกระหายหิว ไม่ร้องโยเยกับการตกใจเสียงฟ้าอีก
“พ่อกินยาก่อนจ้ะ”
“เอ็งไปตามทิดขลุ่ยมาหาพ่อหน่อย”
“ฝนหยุดก่อนนะพ่อ ประเดี๋ยวฉันจะไปตามมาให้จ้ะ”
“ข้าเกรงว่าจะไม่ทันการณ์ เดชเอ้ย ถ้าพ่อเป็นอะไรไป อย่าทิ้งลูกทิ้งเมียนะลูก ดูแลกันไป ทำมาหากินตามประสาของเรานะลูก”
“พ่ออย่าพูดอย่างนี้สิ พ่อไม่เป็นอะไรดอกจ้ะ นอนนะพ่อ”
“ไปตามทิดขลุ่ยมา รีบไปรีบกลับนะ ข้าจะรอเอ็งกับทิดขลุ่ย ไปสิ ไป ไปเร็วๆ ไป”
“จ้ะพ่อ”
เดชไม่อยากทิ้งเคลือบไปตอนนี้แต่เมื่อเป็นความต้องการของเคลือบ เขาจึงต้องไป เขาเข้าไปบอกสไบ
“สไบ พี่ไปตามอาขลุ่ยให้พ่อก่อนนะ ประเดี๋ยวพี่มา”
“ฝนตกนะพี่ รอฝนหยุดก่อนไม่ได้หรือ”
“พ่อให้พี่ไปเดี๋ยวนี้ ไม่เป็นไรดอก ฝนซาเม็ดลงบ้างแล้ว พี่ไปนะ”
เดชเร่งรีบลงบันได บนศีรษะมีผ้าขาวม้าบังเม็ดฝนซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ฝนบางเบาลงกว่าเดิมเดชวิ่งหายไปกับความมืดซึ่งโรยตัวมาตอนฝนตั้งเค้า สไบวางลูกน้อยลงบนเบาะตลบมุ้งลงคอบลูกทั้งสอง ตะเกียงอยู่มุมห้อง หล่อนจุดตะเกียงน้ำมัน ถือเดินออกมาหาพ่อ เสียงคนวิ่งขึ้นบันไดจนบ้านสะเทือนไปทั้งหลัง หล่อนเงยหน้ามองด้วยความตกใจ
สายฝนกระหน่ำชนิดไม่ลืมหูลืมตา มองไปทิศทางใดมืดมัวทุกทิศ ขลุ่ยปิดบ้านนอนฟังเสียงสายฝนกระทบหลังคาสังกะสี ภรรยายังคงกุลีกุจอใช้ปีบน้ำตาลรองน้ำฝนจากชายคา ตุ่มใบใหญ่สองสามใบตั้งเรียงรอรับน้ำฝนจากชายคาตรงนอกชาน
ฟ้าแลบสว่างวาบ กำไลวิ่งกลับเข้าตัวบ้าน หล่อนกลัวสายฟ้าแต่ฝืนรองน้ำทั้งที่กลัว หน้าฝนอย่างนี้ถือเป็นโอกาสดีกักเก็บน้ำฝนไว้เต็มตุ่มเต็มไหถึงเวลาฝนทิ้งช่วงยังมีน้ำในตุ่มไว้ดื่มกิน ส่วนน้ำสำหรับหุงข้าวหรือซักล้าง ตักจากบ่อดินหลังบ้านหรือในลำคลองซึ่งอยู่ห่างจากบ้านราว 20 วา
บ้านขลุ่ยอยู่ใกล้กับคลอง เส้นทางเดินทางอีกทางหนึ่งนอกจากถนนดินเป็นทางเดินใช้กันมาช้านาน เรือจึงเป็นพาหนะสำคัญในการใช้ชีวิตของคนริมคลอง
กำไลมุดมุ้งเข้าไปนอนข้างขลุ่ย ดึงผ้าห่มคลุมถึงอก ขลุ่ยขยับตัวพลิกหาภรรยา แรงกำหนัดของชายวัยกลางคนมิได้หมดสิ้นไป ร่างกายกำไลยังนุ่มนิ่มสำหรับขลุ่ย เขาเล้าโลมหล่อนด้วยมือไม่นานพายุพิศวาสของเขากับหล่อนก็ลุกโชน พายุฝนภายนอกบ้านหรือจะสู้พายุแห่งราคะของคน เขากับหล่อนร่วมมือร่วมใจจูงมือกันฝ่าพายุพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ของความรักความใคร่ ขลุ่ยพลิกร่างลงจากร่างกำไลเมื่อไฟพิศวาสค่อยๆ มอดและดับลงเมื่อลุกโชนสุดกำลังของพายุแห่งรัก
เขากับหล่อนประคองกอดซึ่งกันและกันหลับใหลด้วยความอ่อนเพลีย ฟ้ายังคงแลบแปล๊บเป็นระยะ ครางครืนต่อเนื่อง ฝนยังกระหน่ำไม่ขาดสาย
หัวเรือลำเขื่องเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบท่าน้ำบ้านขลุ่ย ฟ้าแลบสว่างวาบ เห็นคนนั่งหัวเรือ กลางเรือและท้ายเรือ บุคคลทั้ง 3 สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด ปกปิดใบหน้าด้วยสีดำคลุมศีรษะลงมาถึงคิ้ว ปิดปากเห็นดวงตากับจมูกเท่านั้น พวกเขาก้าวขึ้นจากเรือ คนพายขึ้นเป็นคนสุดท้าย ผูกเชือกกับหลักชานของท่าน้ำ ฟ้าแลบอีกครั้ง พวกเขาขึ้นฝั่งบ่ายหน้าไปตามทางเท้าผ่านหน้าบ้านขลุ่ย ฝีเท้าเร่งรีบเกือบเป็นการกึ่งวิ่งกึ่งเดิน
เดชวิ่งบ้างเดินบ้าง ผ้าขาวม้าบังศีรษะกันฝนช่วยอะไรไม่ได้ สายฝนเทพร่างพรูราวฟ้ารั่ว เขามองแทบไม่เห็นทางต้องลูบหน้าบ่อยครั้งเพื่อไล่น้ำเกาะขนตาออก เขาไม่โกรธพ่อตาที่ใช้ให้เขามาตามขลุ่ยไปหาค่ำคืนนี้ เขาเป็นห่วงเคลือบเท่าๆ กับเป็นห่วงพ่อตัวเอง เขารักเคลือบเสมือนพ่อ สิ่งใดที่เขาทำให้เคลือบได้เขาจะทำและการทำให้เคลือบครั้งนี้ เขาสังหรณ์ว่าจะเป็นการทำครั้งสุดท้าย