3 เธอถูกพายุหอบหายไปในป่าดงดิบ 2
คืนนี้พระจันทร์มัวซัวไม่ใสสว่างเหมือนทุกวัน ผู้ใหญ่นาคนั่งสูบบุหรี่ใบจากตรงนอกชานบ้าน ในมือกำปืนลูกซองแฝดเอาไว้แน่น พยายามนึกในทางที่ดีว่าลูกสาวยังไม่ตาย แม้เป็นแค่เพียงความหวังอันน้อยนิดก็ตามที บุญช่อลอบมองสามีพลางยกหลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ พยายามสะกดเสียงสะอื้นเอาไว้ เห็นว่าผู้ใหญ่เคร่งเครียดจนนางหวั่นใจ กลัวว่าเขาจะคิดมากจนไม่สบาย ถ้าผู้ใหญ่เป็นอะไรไปอีกคนนางคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้
“ขอให้พี่เดินทางโดยปลอดภัยและพบลูกสาวของเราทีเถอะ นารีเอ็งอย่าเป็นอะไรไปนะแม่จะรอการกลับมาของเอ็ง”
หญิงวัยกลางคนยกมือไหว้รอบบ้าน เหมือนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยสิทธิ์คุ้มครองลูกและผัวให้ปลอดภัยกลับมา จากพรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอต้องอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง สวรรค์ทำไมโหดร้ายกับครอบครัวของนางด้วย นางต้องการที่จะอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก นารีถือว่าเป็นลูกสาวที่น่ารักครองตัวเป็นโสด อยู่รับใช้พ่อแม่ ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายคนไหน กระทั่งลมเพชฌฆาตได้หอบเธอไปบนฟากฟ้ากว้าง
ภายในถ้ำที่อับชื้นร่างๆ หนึ่งนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ประหนึ่งว่าไร้ลมหายใจ แต่สิ่งที่ยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตก็คือบริเวณทรวงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยริ้วรอยขีดข่วนและมอมแมม เศษฝุ่นเกาะจับตามเส้นผมจนแข็งเป็นกระเซิง บัดนี้เปลือกตาคู่สวยกำลังขยับอ้าออกจากกันทีละน้อย
“อูย อูย โอ๊ย”
เสียงเล็ดลอดออกจากปากจิ้มลิ้มเบาๆ พร้อมๆ กับคิ้วเรียวโก่งขมวดเข้าหากัน บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ
“เจ็บ! โอ๊ย ช่วยด้วย”
นารีรับรู้ถึงความเจ็บที่ร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว ปานประหนึ่งถูกตรึงให้นอนนิ่งอยู่กับที่ มือเท้าหนักเกินจะขยับได้ พยายามลืมตาด้วยความยากลำบาก ดูเหมือนว่าเปลือกตาได้กลายสภาพเป็นหิน ในที่สุดก็ได้อ้าออกจากกัน ขนตาที่มีฝุ่นจับจนเป็นสีน้ำตาลกะพริบถี่ๆ ดวงตากลมโตกวาดไปรอบตัว
“เอ๊ะ! ที่นี่ที่ไหนกันนะ เรามานอนตรงนี้ได้ยังไง”
เธอถามตัวเองด้วยความประหลาดใจ และเกิดอาการหวาดกลัวจนจับขั้วหัวใจ เมื่อรู้ว่าได้มานอนอยู่ในถ้ำที่วังเวงน่ากลัว ภายในที่ชื้นเย็นเยือกจนขนลุก กลิ่นอับของมูลค้างคาวโชยเข้าจมูกเป็นระยะ เธอพยายามยกมือปิดจมูก แต่ไม่สำเร็จเพราะมือทั้งสองข้างหนักอึ้งไร้เรี่ยวแรงเกินที่จะขยับเคลื่อนไหวได้ดังใจ
“เราจำได้ว่าโดนลมพายุหอบขึ้นฟ้า แล้วเข้ามานอนในนี้ได้ยังไงหรือว่ามีคนพามาในถ้ำแห่งนี้ พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยนารีด้วย”
หญิงสาวนึกถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสองขึ้นมาทันที บรรยากาศที่น่ากลัวรอบกายทำให้รู้สึกเย็นไปทั้งร่าง เวลานี้แม้ใครเข้ามาทำร้ายเธอคงไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อสู้ป้องกันตัวเอง
“หนาวจังเลย โอ๊ย...”
นอนน้ำตาไหลพรากแล้วมองขึ้นไปบนเพดานเห็นหินงอกหินย้อยละลานตา แต่หาได้ชื่นชอบไม่ เธอต้องการที่จะลุกขึ้นเดินออกนอกถ้ำ ทว่า ทำได้แค่เพียงนอนนิ่งๆเท่านั้น ครู่หนึ่งกลิ่นสาปสางฉุนกึกโชยฟุ้งเข้ามา นารีไม่สามารถเหลือบมองเจ้าของกลิ่นได้ ถ้าเป็นสัตว์ร้ายเธอต้องตายแน่ๆ
“เสือหรือเปล่า”
ใจหายวาบหวาดกลัวจนตัวเย็นเฉียบ เกือบหยุดหายใจไปชั่วขณะ ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง อย่าให้เกิดอันตรายแก่ตัวเองเลย เสียงเดินย่ำเท้าใกล้เข้ามาทุกที จนกระทั่งกลิ่นสาปโชยเข้าจมูกอย่างรุนแรง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงทุ้มกังวานถามขึ้น นารีดีใจที่รู้ว่าอย่างน้อยภายในถ้ำแห่งนี้ยังมีมนุษย์พอที่จะเป็นเพื่อนไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย พยายามขยับปากตอบด้วยความยากลำบาก
“ปวดไปทั้งตัว ช่วยฉันด้วย”
หญิงสาวผู้น่าสงสารร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงแผ่วแหบโหย ชั่วครู่มีเสียงทุ้มหัวเราะดังสวนกลับมา