4 เพื่อนขี้โกง
ปณิตาแต่งชุดเรียบง่ายเหมือนทุกครั้ง เธอไม่อยากเห็นหน้าของณิชา แต่เพราะต้องทำตามคำสั่งของอาจารย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวจึงต้องฝืนใจลงมาพบหน้าเพื่อนอีกครั้ง
เธอเห็นสายตาของณิชา เต็มไปด้วยความสุข มันก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกขยะแขยงเพื่อนคนนี้เสียเหลือเกิน ‘เธอทำได้ยังไงกัน’ กล้าทำกับเพื่อนของตัวเองได้ยังไง ทำเรื่องชั่วช้าแล้วแต่ก็ยังมาลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิต แบบไม่รู้สึกอะไรแบบนี้ ‘ณิชาแกทำได้ยังไงกัน’
รถยนต์สีขาวใหม่เอี่ยมถูกจดอยู่ใต้หอโดยที่ภายในรถมีเพื่อนสนิทของเธอนั่งอยู่ ก่อนจะออกจากประตูหอพักหญิงสาวต้องปรับอารมณ์และความรู้สึกให้เป็นปกติที่สุด
“ไงแก” ปณิตายิ้มแย้มและทักทายดังเช่นทุกครั้ง “รถใหม่สวยนี่” เธอฝืนชม
ณิชายิ้มและไม่ได้ตอบอะไรรอจนกระทั่งเพื่อนขึ้นรถ “จะไปไหนอ่ะ”
“ไปบ้านอาจารย์น่ะ เห็นว่าจะให้ฉันไปทำอะไรให้ไม่รู้ น่าจะใช้งานอะไรสักอย่างแหละ” ปณิตาบอก
“อ้อ...” ณิชามีท่าทีอึกอัก
“ชา แกเป็นไรอ่ะ ไม่อยากไปเหรอ แก..ทำอะไรผิดไว้หรือเปล่า” ปณิตาจี้จุด
“เปล่า...เปล่าสักหน่อย ไปก็ไปสิ บ้านพักอาจารย์อยู่แค่นี้เอง” ณิชาพยายามทำตัวเองให้มีพิรุธน้อยที่สุด
“งั้นก็ไปดิ” ปณิตายิ้มเย็น
รถญี่ปุ่นสีขาวค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมาช้า ๆ อย่างระมัดระวัง
“แพรวแกไปกินบิงซูกันที่ห้างไหม เจออาจารย์แล้วเราก็ไปกัน” ณิชาพูดชวนเพื่อนในระหว่างขับรถ
“ขอคิดก่อนได้ปะ เจออาจารย์แล้วค่อยตัดสินใจอีกที” ปณิตา ไม่คิดว่าจะได้ไปกินขนมด้วยกันต่อเธอจึงพูดกึ่ง ๆ ปฏิเสธ
ทั้งสองคนพูดคุยกันตามปกติสัพเพเหระไปตามเรื่องจนกระทั่งถึงบ้านพักของอาจารย์ที่ปรึกษา ปณิตารอให้เพื่อนสนิทจอดรถให้เรียบร้อยก่อนจะชักชวนเข้าไปหาอาจารย์ในบ้านพร้อมกัน
“ชา แกไปกับฉันหน่อย ฉันไม่อยากเข้าไปคนเดียว”
ณิชากลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ได้...ไปสิ”
ทั้งสองคนกดกริ่งรอจนกระทั่งได้ยินเสียงตอบรับของอาจารย์สาว จึงได้เปิดประตูรั้วเลื่อนสีดำ เดินเข้าไปภายในรั้วบ้าน ปณิตารู้เส้นทางของบ้านหลังนี้เพราะมาปรึกษาเรื่องงานวิจัยอยู่บ่อย ๆ จึงพาเพื่อนสาวเดินเข้ามาได้อย่างช่ำชอง
ชุดนั่งเล่นแบบหินอ่อนตั้งอยู่ใต้ต้นมะม่วงขนาดใหญ่ อาจารย์สาวนั่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนบนโต๊ะมีกระดาษ A4 สองปึกถูกวางรอเอาไว้
“สวัสดีค่ะ” เด็กสาวทั้งสองยกมือไหว้และกล่าวทักทายแทบจะพร้อมกัน
อาจารย์สาวพ่นลมหายใจก่อนจะผายมืออนุญาตให้เด็กทั้งสองนั่ง
“ปณิตา ไปหยิบน้ำกับขนมในบ้านมาหน่อยสิ เอาที่เราเคยกินกับอาจารย์ตอนมาทำวิจัยน่ะ”
“ค่ะ” ทันทีที่ได้รับคำสั่งปณิตาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านอย่างรู้ความ
เมื่อปณิตาคล้อยหลังไป อาจารย์สาวจึงเริ่มพูดคุยกับณิชา
“ณิชา อ่านวิจัยสองเล่มนี้หน่อยสิ แล้วบอกได้ไหมว่าอันไหนเป็นของเธอ”
สีหน้าของณิชาซีดเผือดลงทันที สองมือเล็ก ๆ เริ่มสั่นเทาเพราะความหวาดกลัวและตื่นตระหนก
“อะ...อาจารย์ ช...ชาขอโทษค่ะ”
“อาจารย์ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ทำไมเธอถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือว่าทำความผิดอะไรมา”
“ชา.... ชาขอโทษค่ะ” ณิชาเริ่มร้องไห้ หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้นและคุกเข่า
“งั้นก็รู้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองทำอะไรผิดเอาไว้”
ณิชาพยักหน้าอย่างรู้ความผิด เธอรู้ว่าอย่างไรกระดาษก็ห่อไฟได้ไม่มิด สักวันความลับของเธอก็จะถูกเปิดเผย
“หนูขอโทษค่ะ”
“ขอโทษแพรวเถอะ ทำไมถึงทำกับเพื่อนได้ โครงการนี้ส่งไม่ทัน ก็ยังมีอีกหลายโครงการให้เธอยื่น” อาจารย์สาวกอดอกและโยนปึกกระดาษ A4 ที่มีชื่อของณิชาใส่เด็กนักศึกษาที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
“แพรวรู้เรื่องนี้แล้วเหรอคะ” ณิชาได้ยินอาจารย์เอ่ยถึงชื่อของเพื่อนสนิทเธอ
“รู้สิ เพราะจากนี้ไปอาจารย์จะต้องถอนชื่อชาออกและยื่นชื่อของแพรวพร้อมหลักฐานต่อคณะกรรมการอีกรอบ อาจารย์ก็ต้องบอกเขา”
“อาจารย์ค่ะ....” ณิชากอดเข่าอ้อนวอนขอร้อง “อย่าถอนทุนหนูเลยนะคะ”
ปณิตาที่ยืนฟังอยู่นานแล้ว เดินออกมาสมทบทีหลัง
“ถ้าไม่ถอนทุนชา แล้วแพรวจะไปเรียนต่อต่างประเทศยังไง”
“แพรว แพรวพูดเองนี่นา...ว่ายังไงก็ยังมีอีกหลายทุน แพรว แพรวก็เลือกเอาทุนอื่นก็ได้นี่” ณิชาพูดอย่างเห็นแก่ตัว
เมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนสนิทเอ่ยออกมา ริมฝีปากของปณิตาก็เหยียดยิ้มอย่างรังเกียจ
“เห็นแก่ตัวไปหน่อยไหมชา งานนั่นมันของแพรว แพรว ไม่แจ้งความเอาผิดชาก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังไงแพรวก็ยกทุนนี้ให้ชาไม่ได้หรอก”
“แต่...แต่เราเป็นเพื่อนกันนี่แพรว” ณิชายังคงไม่รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่ผิด
“เพื่อนเหรอชา เพื่อนที่ไหนเขาทำเรื่องสารเลวแบบนี้”
“พะ แพรว ชา...”
“คำขอโทษพูดมันออกมาสิ พูดมันออกมาได้ไหมล่ะชา”
“พอเถอะทั้งสองคนนั่นแหละ คนตัดสินเรื่องนี้คืออาจารย์กับคณาจารย์ที่เหลือ แน่นอนว่าผลเรื่องนี้ออกมาแบบไหน ชาน่าจะรู้เรื่องนี้ดีนะ ไม่ยึดเกียรตินิยมเหรียญทองกับปริญญาบัตรก็นับว่าให้โอกาสมากแล้วนะ” อาจารย์สาวห้ามทัพ
“อาจารย์ให้โอกาสชาอีกรอบนะคะ ชาจะเอางานที่เป็นของตัวเองมาส่งค่ะ” ณิชายังคงอ้อนวอน
“แล้วจะให้เชื่อได้ยังไงล่ะณิชา ว่าเธอจะไม่เอางานของคนอื่นมาส่งอีก ความน่าเชื่อถือของเธอมันจบลงไปหมดแล้ว” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดนั่นหมายความว่าความน่าเชื่อถือหลังจากนี้มันจบสิ้นลงไปแล้ว
ณิชาหันหน้าไปอ้อนวอนกับเพื่อนสนิท แต่สิ่งที่ได้มันคือสายตาแห่งความเย็นชาและหมางเมิน
“แพรว ชา... ชาขอโทษ”
“สายไปแล้วล่ะชา แพรวจะไม่มีวันยกโทษให้หรอกนะ ชาก็อยู่กับความรู้สึกผิดแบบนี้ต่อไปเหอะ”
อาจารย์เชิญให้เด็กทั้งสองออกจากบ้านของตัวเอง ก่อนที่จะสตาร์ทรถ และขับไปส่งปณิตา เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้มันกลายเป็นฝุ่นผงไปหมดแล้ว
ณิชาวิ่งตามเพื่อนออกมา
“แพรว เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไหม” ณิชาถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ปณิตาจับประตูรถของอาจารย์เอาไว้ยังไม่ได้เปิดประตูขึ้นไปในทันที
“ถามเอาอะไรอ่ะชา เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกเหรอ ความสัมพันธ์ของเราให้มันจบแค่นี้เถอะนะ ต่อไปนี้ชา อย่าได้มาให้แพรวเห็นหน้าอีกต่อไปนะ” ปณิตาเปิดรถก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนต่ออีกสองสามประโยค “อ้อ...ณิชา ครอบครัวชาน่าจะภูมิใจน่าดู แพรวอยากเห็นจังว่าพวกเขาจะทำหน้ายังไงตอนที่รู้ว่าชาถูกถอนทุน เพราะ...ขี้โกง”