บทที่ 3-1 วารุณ เฟรเซอร์
สถาบันการเงินเฟรเซอร์ ไฟแนนเชียล กรุ๊ปตั้งอยู่บนถนนสายหลัก ตึกใหญ่โตเป็นสถาปัตยกรรมเก่าสมัยคลาสสิกที่ตระหง่านสูงราวกับป้อมปราการ เมื่อดัดแปลงปรับปรุงเป็นอาคารสำนักงาน อาคารหลังนี้จึงเปรียบดั่งปราสาทอันแสนสง่างามมีรสนิยม และเป็นหนึ่งในศูนย์ข้อมูลของอาณาจักรเฟรเซอร์
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงเช้าขณะรถเมอซิเดสสีดำสนิทเลี้ยววนเข้ามาจอดที่ด้านหน้าอาคาร ยามรักษาความปลอดภัยก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้อย่างรู้หน้าที่พลางยกมือขึ้นแตะขอบคิ้วเพื่อทำความเคารพ
“อรุณสวัสดิ์ครับท่าน”
“อรุณสวัสดิ์”
ร่างผึ่งผายสวมชุดสูทสากลสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาเข้าขั้นงดงาม จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วหนาตาคม ริมฝีปากเรียวบางซึ่งมักจะเรียบเป็นเส้นตรงอย่างไม่แสดงพื้นอารมณ์ใด เขาคือวารุณ เฟรเซอร์ เจ้าของอาณาจักรเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ปีนี้เขาอายุสี่สิบห้าแล้ว นิตยสารจัดอันดับความร่ำรวยบันทึกชื่อเขาไว้ว่าเป็นประธานคณะผู้บริหารที่อายุน้อยที่สุดแต่มูลค่าของสินทรัพย์ที่ถือครองมากที่สุดในวงการเงิน เขามาถึงสำนักงานใหญ่ใจกลางมหานครตอนเวลาหกโมงตรงทุกเช้าเป็นกิจวัตร กว่าที่คู่แข่งของเขาจะเริ่มต้นทำงาน เขาก็ทำธุรกิจไปแล้วหลายชั่วโมงกับบรรดาตัวแทนสิบกว่าประเทศ
“ผมจัดเตรียมเอกสารที่ท่านต้องการไว้เรียบร้อยแล้วครับ” เลขานุการส่วนตัวของเขาค้อมศีรษะเล็กน้อยขณะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจคร่าวๆ ชายหนุ่มยื่นมือมารับแฟ้มเอกสารมาอ่านไปเดินไป ตัวเลขและข่าวสารจัดเรียงลำดับความสำคัญได้ดี และกระดาษจดโน้ตแผ่นหนึ่งก็ร่วงลงมา
“นี่คืออะไร”
“เอ่อ... ขอประทานโทษด้วยครับ คงจะหลงเข้ามาในแฟ้มครับท่าน” เลขาจะหยิบมันไปทิ้ง แต่วารุณเป็นคนไม่ทิ้งรายละเอียดให้ไปตามยถากรรม จึงเรียกกลับมาไว้ก่อน
“นายธนาคารจากญี่ปุ่นจะมาพบท่านในเวลาเจ็ดโมงครึ่งครับ พวกเขาสอบถามเรื่องขอเลื่อนเวลานัดพบ”
“แจ้งพวกเขาว่าฉันขออภัยอย่างสูง ฉันมีเวลาว่างช่วงนี้เท่านั้น” วารุณกล่าวโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เพราะรู้ดีว่ากลุ่มนายธนาคารเพิ่งเดินทางไกลมาถึงเมื่อช่วงเช้ามืด ร่างกายและจิตใจย่อมอ่อนล้าและง่วงงัน นั่นแหละจุดอ่อนที่เขาจะใช้ขยี้ ตอนนี้ตึกยังไม่มีคนพลุ่กพล่าน การมาถึงของเขาจึงค่อนข้างรักษาความเป็นส่วนตัว แต่แล้วเขาก็รู้สึกถึงสายตาใครบางคนจึงเงยหน้าขึ้น
เด็กสาวในชุดนักเรียนนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ เมื่อเห็นเขา เธอก็ลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ ดวงหน้าของเธอผุดผาด สองตาดำสนิทกำลังมองเขา
“ลูกสาวของพนักงานที่นี่หรือ”
“อ่อ... ไม่ใช่ครับ เธอมาสมัครงาน”
“สมัครงาน?”
“ครับ ผมเห็นว่าข้างนอกฝนตกก็เลยอนุญาตให้เธอเข้ามารอข้างในก่อนตึกจะเปิด”
“บอกปฏิเสธไปซะ ฝนหยุดตกแล้วก็ส่งเธอกลับด้วย”
“ทราบแล้วครับ”
เลขาของเขาปลีกตัวไปจัดการตามที่สั่ง ส่วนวารุณเดินไปรอลิฟต์ผู้บริหารพลางก้มอ่านกระดาษโน้ตแผ่นนั้นอยู่อึดใจ ก่อนจะเงยหน้าพรวดขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เลขาของเขาเดินกลับมาพอดี “คุณเป็นคนเขียนหรือ”
“เปล่าครับ เด็กคนนั้นเขียน” เลขาชี้ไปที่เด็กนักเรียนหน้าตาน่ารักที่กำลังก้าวขึ้นแท็กซี่ “ระหว่างที่กำลังรอท่าน ผมคุยกับเธอนิดหน่อย เธอเขียนไปด้วยคุยไปด้วย ท่านจำคุณอนุรักษ์ กิตติธาราได้ไหมครับ เธอเป็นลูกสาวของเขา”
“ไปตามเธอกลับมา”
“หา? เอ่อ...” เลขาของเขาเริ่มสับสน “กระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่าอะไรหรือครับ”
มุมปากของเขาหยัดขึ้นขณะพับกระดาษแผ่นนั้นเก็บเข้าด้านในสาปเสื้อสูท “ถ้าคุณได้อ่าน คุณจะขนลุกเลยล่ะ นั่นน่ะนางปีศาจของแท้”
.........................
ทอปัดศึกษาเกี่ยวกับ CEO ผู้โด่งดังคนนี้มาแล้ว และการแต่งตัวด้วยชุดนักเรียนก็มีเหตุผลของมัน หนึ่งก็คือเธอไม่มีชุดแบบที่เป็นทางการเลยสักชุด และสอง เธอต้องการดึงดูดความสนใจซึ่งเธอก็ทำสำเร็จ นิตยสารและสื่อต่างๆ เขียนถึงความสำเร็จท่วมท้นของชายผู้นี้มากมาย แต่กลับมีคนเขียนถึงภูมิหลังของเขาน้อยมาก ไม่มีใครอ่านเขาออก ไม่มีใครรู้ว่าเขาพักผ่อนตอนไหน ไม่รู้พื้นเพหรือชีวิตครอบครัวส่วนตัวเลยสักนิด นั่นแสดงว่าเขาไม่ชอบการใช้เส้น ซึ่งก็ดีเพราะเธอเองก็ไม่คิดจะเอ่ยอ้างถึงตระกูลกิตติธาราแต่อย่างใด
“คุณทอปัด เชิญทางนี้ค่ะ ดิฉันจะพาไปที่ห้องรับรองค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ห้องรับรองตกแต่งอย่างมีเสน่ห์ ด้วยโซฟาหนังขนาดใหญ่สั่งทำพิเศษ ขนาบด้วยเก้าอี้ชิปเพนเดล มีประติมากรรมนูนต่ำซึ่งเป็นผลงานของศิลปินไทยฝีมือดี เป็นรูปโขลงช้างในป่าสลับซับซ้อน ทอปัดยืนมองรายละเอียดของมันเพื่อฆ่าเวลาอยู่ร่วมๆ ชั่วโมง ก่อนที่พนักงานจะเชิญเธอเดินไปตามทางเดินยาวปูพรม ผ่านห้องประชุมทันสมัย จนกระทั่งมาถึงห้องซึ่งติดป้ายโลหะสีทอง แค่ป้ายก็รู้แล้วว่านี่คือห้องของพระราชาแห่งอาณาจักรเฟรเซอร์
ห้องทำงานของท่าน CEO วารุณเรียบง่ายกว่าที่คิด มิได้หรูสุดขีดแบบที่เห็นในละคร แต่ตกแต่งอย่างมีรสนิยม ไม่ฉูดฉาด เน้นการทำงานจริงๆ และมีมุมกาแฟสดตั้งอยู่ ทิวทัศน์นอกห้องงดงามตระการตาไร้ขีดจำกัดด้วยกระจกนิรภัยบานใหญ่ เมื่อมองลงไปก็รู้สึกเหมือนมหานครอยู่เบื้องบาท สายตาของทอปัดกลับจ้องรูปทูตสวรรค์ที่ถูกพระเจ้าขับออกจากสวรรค์ที่อยู่บนผนัง ทูตสวรรค์ตนนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ปีกที่เคยขาวบริสุทธิ์บัดนี้ถูกย้อมอาบด้วยโคลนตม สายตาของทูตสวรรค์ตนนั้นหวาดกลัวสุดขีด
“คิดว่ารูปนี้คือใคร”
เขาถามเมื่อเห็นว่าเธอสนใจ ทอปัดหันมากลับมาตามเสียง ก็พบว่าเจ้าของห้องกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหาร สองมือวางประสานบนโต๊ะ เขาเป็นสุภาพบุรุษรูปร่างสูงสง่างาม บ่ากว้าง ไหล่บึกบึน ไว้ผมสั้นสีดำอมน้ำตาล ชุดสูทสากลสีดำสนิทพอดีกับมัดกล้ามของเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ หากจะนึกถึงชายหนุ่มสมบูรณ์แบบทั้งชาติตระกูลและรูปร่างหน้าตาสักคน ย่อมมีชื่อวารุณ เฟรเซอร์ติดอันดับต้นๆ เสมอ
“พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 แห่งบาบิโลน”
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเขา”
“เจ้าผู้ส่องแสง คือโอรสแห่งรุ่งอรุณ เจ้าถูกเหวี่ยงลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ” ทอปัดอ่านถ้อยความภาษาอังกฤษที่ติดอยู่ด้านล่างของรูป “นี่เป็นถ้อยความจากหนังสืออิสย่าห์ ผู้ส่องแสงในหนังสืออิสยาห์[]นี้จึงหมายถึงพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 แห่งบาบิโลน ไม่ได้หมายถึงทูตสวรรค์ที่มีอำนาจมากและคิดกบฎต่อพระเจ้าจนถูกขับไล่ออกจากสวรรค์”
ทอปัดไล่สายตาไปที่ขนปีกซึ่งศิลปินตวัดฝีแปรงอย่างเฉียบคม ดูบางเบาราวกับขนนกจริงๆ และสีหน้าแววตาของทูตสวรรค์ก็ดูคล้ายจะเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือออกมาจริงๆ รูปสีน้ำมันนี้วาดตามคติคริสตชนรุ่นหลังที่ตีความหมายถึงลูซิเฟอร์ แต่ถ้อยความกลับหมายถึงพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ ทอปัดพิจารณาแล้วก็เดาความหมายได้อย่างเดียวว่าเขาใช้ภาพนี้หยั่งความลึกตื้นของคู่สนทนา คนที่ไม่รู้ก็อาจจะชมว่าสวยมีรสนิยมไปตามแต่ปากจะพูด คนที่รู้ก็อาจจะพูดโพล่งถึงความผิดพลาด แต่ทอปัดเลือกที่ยิ้มและมองเขาอย่างรู้ทัน
“ไม่ว่าทูตสวรรค์ตนนี้จะเป็นใคร แต่สิ่งเดียวที่มิแปรเปลี่ยนคือพระเจ้า”
เธอเป็นคนแรกที่มองทะลุ
“นั่งสิ”
เขายอมรับเธอแล้ว ถึงจะแค่เบื้องต้นก็เถอะ ชัยชนะเล็กๆ นี้ทำให้ทอปัดยืดไหล่นั่งตัวตรง แม้จะอยู่ห่างจากเขาเกือบสิบก้าว แต่ถึงกระนั้นเธอรู้สึกว่าเขาจ้องเธออยู่ตลอดเวลาแม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าใกล้เธอก็ตามที
“เธอต้องการสมัครงานอะไร”
“เกรงว่าดิฉันไม่ใช่คนตัดสินใจค่ะ”
น่าสนใจดี... วารุณคิด ถึงจะวางตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่ตัวจริงคงจะเถียงเก่งไม่น้อย ท่าทางและวิธีพูดของเธอสง่าและมีศักดิ์ศรีอยู่ในที ชายหนุ่มจึงยิงคำถามกลับไปแทบจะในทันที
“เธอเก่งจริงหรือเปล่าล่ะ” คำถามง่ายๆ ไม่มีอะไรยากสักนิด แต่กลับตอบยากเมื่อเขาเป็นคนถาม ทอปัดหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไปตามที่คิด
“พ่อสอนดิฉันว่าอย่าถือตัวว่าเก่ง คนเก่งกว่าเรายังมีอีกมากมาย ดังนั้นคำตอบของดิฉันคือเก่งจริงค่ะ แต่ไม่ได้เก่งที่สุด”
วารุณหัวเราะ ก่อนจะหยิบกระดาษโน้ตแผ่นนั้นออกมาคลี่วางทับบนเอกสารสมัครงานของเธอ ตัวเลขและสัญลักษณ์ที่เขียนบนกระดาษเขียนด้วยดินสอเต็มไปหมด แววตาสดใสของทอปัดก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่าง เป็นแววตาของนางปีศาจตัวน้อยที่ค่อยๆ เผยตัวออกมา แม้แต่นักธุรกิจที่เคี่ยวกรำมาตลอดชีวิตก็ยังไม่มีแววตาเย็นเยียบได้เท่าเธอ
“อายุแค่นี้ แต่คิดวางแผนล้มล้างธุรกิจตระกูลกิตติธาราได้เป็นขั้นเป็นตอน ใครสอนมาหรือ”
เธอยิ้มรับ “คงจะเป็นปีศาจโทสะในตัวกระมังคะ ดิฉันมิได้คิดถึงขั้นทำลายล้างอะไรขนาดนั้น แค่ต้องการตึกที่เคยเป็นของพ่อกลับคืนมา”
“คุณอนุรักษ์น่ะหรือ”
ทอปัดพยักหน้า ยิ้มมีความสุขเมื่อได้เอ่ยถึงพ่อ “คนอื่นบอกว่าพ่อเป็นฮีโร่ที่พ่ายแพ้ แต่ฮีโร่ก็คือฮีโร่ ตอนดิฉันอายุแปดขวบ พ่อซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรง พ่ออุ้มดิฉันเข้าไปแล้วบอกว่านี่คือปราสาทเจ้าหญิง มีสวนดอกไม้ มีเวทีหินอ่อนยกสูงจากพื้นให้ดิฉันเปิดคอนเสิร์ตเปียโนเล็กๆ ตอนนั้นจำได้ว่ามีแม่บ้านตั้งสิบคน ไม่รวมคนดูแลสวนแล้วก็คนขับรถ”