บทที่ 3-2 วารุณ เฟรเซอร์
เธอยิ้ม แววตามีชีวิตชีวาเมื่อเอ่ยถึงความทรงจำ “ทุกครึ่งปีพ่อกับแม่จะพาดิฉันไปเที่ยว ไปเล่นสกีที่สวิส ไปซัมเมอร์ที่ฮาวาย พ่อสร้างตึกมากมายที่หัวเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ แล้วก็ให้ดิฉันเป็นคนตั้งชื่อ”
“ชื่อแรกที่เธอตั้งคืออะไร”
“Imperial Topaz… พลอยทอปัดสีส้มแกมแดงล้ำค่า”
“ตึกของกิตติธาราที่มีชื่ออัญมณีทั้งหมดเป็นชื่อที่เธอตั้งสินะ”
“ค่ะ” ทอปัดยิ้มแฉ่ง “ความฝันของดิฉันคือสร้างตึกของดิฉันเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ”
“ก็ดี แล้วมันเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไรหรือ”
วารุณยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ และกำลังจะตัดบทสนทนาด้วยการเรียกเลขาเข้ามา วารุณมองเด็กสาวหน้าตาสะสวย ผิวพรรณผุดผ่อง แม้ผอมกะหร่องไปนิดแต่ก็นับว่าเธอเป็นเด็กที่มีแววตากล้าหาญ เขาอ่านประวัติอันทุกข์ระทมของครอบครัวเธอมาคร่าวๆ แล้วก็คิดว่าจะสั่งเลขาให้เงินเล็กๆ น้อยๆ ก้อนหนึ่งแบบให้เปล่า เป็นทุนเล่าเรียนต่อมหาวิทยาลัย อยากจะเรียนอะไรก็เรียนไป หรือจะเอาไปทำอะไรก็เอาไปเถอะ ทว่าเด็กสาวไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น
“คุณวารุณ ดิฉันกำลังคุยกับเจ้าของเงินทุนค่ะ”
ทอปัดตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ถ้วยกาแฟที่กำลังจรดริมฝีปากพลันชะงัก ตระหนักได้ว่าการพบกันวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกอย่างวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนไว้ล่วงหน้าแล้ว แม่ปีศาจตัวน้อยแสบไม่ใช่เล่น
“การมาสมัครงานครั้งนี้ จุดประสงค์ของดิฉันคือต้องการพิสูจน์ให้คุณเห็นชัดว่าดิฉันเก่งมากพอที่คุณจะยอมปล่อยกู้ให้ดิฉันค่ะ”
“ไม่มีทาง”
“คุณวารุณคะ โทรทัศน์ถูกคิดขึ้นมาครั้งแรกในปี 1884 แต่ทำได้จริงปี 1925”
เด็กคนนี้ฉลาดพูดเสียจริง วารุณคิดในใจ กลวิธีที่จะกระตุ้นนายทุนก็คือชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุน นับว่าเธอยิงตรงเข้าประเด็นโดยไม่ต้องพูดอะไรมากเลย
“ต้องการกู้จำนวนเงินเท่าไร”
“หนึ่งพันห้าร้อยล้านบาท บวกบวก”
วารุณหัวเราะหึๆ ท่าทางเย็นชาไร้อารมณ์ หรี่ตาจ้องมองด้วยสายตาเย็นเฉียบ ว่ากันว่าความเห็นของเขามีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นหรือลงได้ แม้ว่าอำนาจเช่นนี้เป็นสิ่งไม่จีรัง แต่วารุณสร้างชื่อเสียงว่าเขาวิเคราะห์ตัวเลขได้อย่างแม่นยำ นักลงทุนเชื่อเขาได้ นี่แหละที่เป็นอำนาจที่ทำให้เขาไม่หลบตาใคร
“ฉันไม่ปล่อยเงินกู้ให้ลูกหนี้ที่มีประวัติหนี้เสียหรอกนะ โดยเฉพาะเด็กอายุสิบแปดที่ไม่มีประสบการณ์ และไม่มีหลักประกันอะไรเลย”
“มีสิคะ คุณมีสัญญาจำนองตัวตึกอยู่ในมือ และดิฉันสามารถทำกำไรมากพอชดใช้หนี้ของคุณพ่อของดิฉันให้คุณด้วย ถือว่าดิฉันลงแรงเพื่อหาใช้หนี้ให้คุณและทำให้คุณกลับมามีกำไร ข้อเสนอนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ หรอกนะคะ”
วารุณลอบหัวเราะ คำพูดคำจาของเด็กคนนี้เกินวัยจนเข้าขั้นแก่แดด
“เธอยังเด็กและขาดประสบการณ์ ฉันไม่มีไอเดียพอที่จะอธิบายเหตุผลการอนุมัติเงินกู้ให้คณะกรรมการฟังแน่”
“แต่คุณเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้าย”
“ก็จริง”
เธอเป็นเด็กที่มีลูกบ้าจนน่าทึ่ง เด็กสาวชุดนักเรียนมัธยมปลายมาที่นี่เพื่อขอกู้เงินเพิ่มหนึ่งพันล้านโดยรับรองว่าจะใช้หนี้ก้อนเก่าที่ถูกแทงศูนย์ไปแล้วบวกด้วยกำไรจากดอกเบี้ยเงินกู้ ตามหลักเกณฑ์แล้วนักลงทุนที่ดีจะบอกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยด้วยถ้อยคำอ้อมค้อม แต่วารุณสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่างเดือดพล่านอยู่ในตัวเด็กคนนี้ เป็นส่วนผสมของความดื้อรั้นแบบเด็กๆ กับความแน่วแน่เกินวัยบ้าๆ ของเธอ
เผอิญว่าเขาเองก็เป็นคนบ้าเสียด้วยสิ
วารุณหยิบปากกาหมึกซึมจากสาปเสื้อ จรดปลายปากกาลงไปเซ็นชื่ออนุมัติรับเข้าทำงาน เซ็นทับลงตรงกลางหน้ากระดาษนั่นแหละ แล้วยื่นให้เธอ ทอปัดเดินเข้ามาพลางยื่นมือไปรับ แต่เขาตวัดกระดาษแผ่นนั้นหนีมือเธอไปเสียก่อน
“ระดับการศึกษาถือเป็นเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ในเมื่อเธอวุฒิ ม.6 ก็ต้องเริ่มต้นจากงานตามวุฒิโดยไม่มีข้อยกเว้น”
“ทราบแล้วค่ะ”
“แค่ลมปากเพ้อฝัน ใครๆ ก็พูดได้ คนที่ทำตามคำพูดได้สิถึงจะมีค่า ฉันจะให้เธอเริ่มงานในตำแหน่งที่เล็กที่สุด ในบริษัทในเครือที่มีผลประกอบการแย่ที่สุด”
ต่างฝ่ายต่างปะทะสายตา วารุณก็ยกมุมปากขึ้นเมื่อพบว่าเธอไม่หลบตา นับว่าใจกล้าไม่น้อย
“ฉันให้เวลาเธอครึ่งปี หากพลิกกลับมาทำกำไรไม่ได้ เกมโอเวอร์ ถ้ากล้ารับข้อเสนอนี้ก็เอากระดาษใบนี้ไปยื่นที่เลขาของฉันได้เลย เขาจะเป็นธุระจัดการให้เอง”
ข้อเสนอของเธอมันบ้า ของเขาก็บ้าไม่แพ้กัน สำหรับเด็กอายุสิบแปดที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากใบเกรดถือว่าเป็นเงื่อนไขท้าทายที่ยากยิ่งกว่าว่ายน้ำข้ามมหานทีสีทันดร ทอปัดกลับยกยิ้ม พนมมือไหว้แล้วรับกระดาษอนุมัติเข้าทำงานแผ่นนั้นมาด้วยแววตาเป็นประกายฉายฉาน
“หากดิฉันไม่กล้า ป่านนี้ก็คงนอนอยู่บ้านเฉยๆ แล้วล่ะค่ะ” เธอกำลังจะกลับออกไป แต่ก็ถอยกลับมาเหมือนมีเรื่องลังเลใจ อยากจะพูดแต่ยังไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่
“มีธุระอะไรอีก”
“ดิฉันขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าไปซื้อชุดทำงานได้มั้ยคะ” เมื่อเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว ทอปัดจึงแบมือออกทั้งสองข้าง “นอกเสียจากว่าคุณต้องการให้ดิฉันใส่ชุดนักเรียนแบบนี้ไปทำงาน”