ตอนที่ 4 บังเอิญ
ผ่านไปหนึ่งเดือน
ร่างแน่นิ่งที่นำออกมาจากจวนตระกูลไป๋ในตอนนั้น เพื่อตบตาคนพวกคนชั่วช้าว่า ฮูหยินเอกได้สิ้นใจไปแล้ว แท้จริงนางถูกพี่สาวช่วยเหลือเอาได้ทัน
โจวกุ้ยถิงเป็นท่านหมอเทวดา ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายเพียงใด นางย่อมรักษาจนหาย แม้ไม่หายขาดแต่ร่างกายก็ฟื้นตัวเร็วขึ้น ประคับประคองวาระสุดท้ายเอาไว้ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
ร่างกายเหี่ยวแห้งผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูกของโจวกุ้ยเจินผู้เป็นน้องสาวของท่านหมอและนางก็คืออดีตฮูหยินตระกูลไป๋ ยามนี้เริ่มจะมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้างแล้ว ผู้ที่เอาใจใส่ดูแลนั้นก็มีบุตรีและพี่สาวของนาง
ไป๋ผิงอันมิได้เดินทางไปยังอารามนั้นตามที่ได้ตกลงกันกับตระกูลไป๋ ซ้ำยังมีแผนการรองรับเอาไว้อย่างยอดเยี่ยม มีหรือที่คนตระกูลไป๋จะล่วงรู้ ถึงรู้ก็คงจะทำอันใดไม่ได้แล้ว
บุตรีวัยกำลังน่ารักน่าชัง ได้กลายเป็นท่านหมอประจำตัวของมารดาไปเสียแล้ว ไป๋ผิงอันมีความสุขยิ่งนัก นางยิ้มแย้มร่าเริงเบิกบานใจทุกวัน และนางยังเป็นที่รักและเอ็นดูของท่านยายและท่านป้าอีกด้วย
“ท่านแม่ดื่มยานะเจ้าคะ” มือป้อม ๆ ประคองถ้วยยากลิ่นเหม็นฉุน จดจ่ออยู่ริมฝีปากแห้งกรังของมารดา แม้ว่าใบหน้าของท่านแม่จะไม่ซีดเซียวไร้สีเลือดเหมือนเช่นเคย ยามนี้ดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมากโข แล้วยังหยอกล้อกับนางได้อีกด้วย มิได้เจ็บปวดเจียนตายเหมือนครั้งเก่าก่อนอีกแล้ว
“อันเอ๋อร์ เหนื่อยเจ้าแล้ว” น้ำเสียงแหบแห้งกล่าวออกมา ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบไล้เรือนผมสีน้ำหมึกสลวยของเด็กน้อย แววตามีแต่ความรักใคร่เอ็นดูลูกสาวยิ่งนัก ใบหน้าของคนป่วยจึงมีรอยยิ้มแห่งความสุขประดับอยู่เสมอ
หัวใจดวงน้อย ๆ พองโตขึ้นมากโข เมื่อเห็นท่านแม่ยิ้มออก นางจึงกล่าวประจบประแจง ซ้ำยังฉีกยิ้มกว้างอีกด้วย “หากทำให้ท่านแม่หาย แม้ว่าข้าจะเหนื่อยจนสิ้นลม ข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยยิ้มย่องอย่างเบิกบานใจ
“จะเหนื่อยอะไรนักหนา จะต้องสิ้นลมเลยรึ ท่านยายต่างหากเล่าที่เหนื่อยกว่าเจ้าเสียอีก” ท่านป้าโจวกุ้ยถิงเอ่ยขัดเข้าให้ เมื่อเห็นหลานสาวทำท่าออดอ้อน ออเซาะได้น่าเอ็นดูยิ่งนัก
แล้วยังภูมิใจกับหลานสาวตัวเล็กเพียงเท่านี้กลับมีพรสวรรค์เป็นเลิศ แยกแยะสมุนไพรออก เพียงแค่นางดมกลิ่นของพวกมัน จะมิให้นางภูมิอกภูมิใจได้อย่างไรกัน มีหลานสาวเก่งกาจถึงเพียงนี้ คาดว่าอีกไม่นานหลานสาวผู้นี้ย่อมต้องเจริญรอยตามตนเองเป็นแน่
“ท่านป้า หลานก็แค่...เป็นห่วงท่านแม่” เด็กน้อยมิกล้าสบตา นั่นเพราะท่านป้ากำลังหลิ่วตามอง คล้ายว่าจับผิดนางเสียอย่างนั้น วันทั้งวันนอกจากดูแลมารดาก็ยังต้องศึกษาตำราสมุนไพรอีก ชีวิตอันแสนสนุกสนานของนางมีกองตำราของท่านป้าที่มีให้นางได้เรียนรู้ ไม่เบื่อหน่ายสักนิด
“พรุ่งนี้ ข้ามีตำราให้เจ้าอ่านอีกมากมาย หวังว่าเจ้าจะพอดูแลและช่วยชาวบ้านอย่างที่ข้าหวังในตัวเจ้านะ” กล่าวจบพลางถอนหายใจ
ความหวังของนางคงขึ้นอยู่กับหลานสาวแล้วกระมัง ด้วยเพราะนางมิแต่งงานหรือมีใจชมชอบผู้ใด แล้วยิ่งพบเรื่องเลวทรามชั่วช้าของไป๋หลี่หานผู้เป็นน้องเขย กระทำต่อน้องสาวของนาง มันก็ยิ่งสร้างแรงกระตุ้นให้นางชิงชังบุรุษเข้าไส้
“เจ้าค่ะ หลานจะจดจำให้ขึ้นใจ” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าแสนน่ารักของเด็กน้อย ดวงตาคู่งามกระจ่างสดใสเป็นประกายพราวระยับ ยามแย้มยิ้มเบิกบานเช่นนี้ดวงหน้าที่แสนน่ารัก กลายเป็นโฉมสะคราญล่มแคว้นในพริบตาเดียว
ไป๋ผิงอันกล่าวตอบกลับท่านป้าแล้ว ค่อยได้เดินออกมายังนอกห้องนอนของมารดา ด้วยคิดว่าจะมารอดักท่านยาย เพื่อขอค่าผ่านทางเป็นผลไม้เชื่อมสักสองสามไม้ แต่ที่ไหนได้ ท่านยายกลับพาบุรุษผู้หนึ่งมาด้วย ชายผู้นี้ช่างมีสีหน้าบึ้งตึง รูปร่างใหญ่โต
ดรุณีน้อยมิสนใจชายผู้นั้น กลับเร่งฝีเท้าป้อม ๆ เข้ามาหาท่านยายของนางอย่างรีบร้อน “ท่านยายเป็นอะไรหรือเจ้าคะ” เพราะเห็นท่านยายถูกชายแปลกหน้าประคองเข้ามา จึงอดแปลกใจไม่น้อย เพราะท่านยายเดินไม่สะดวกนักเพราะปวดหัวเข่าทั้งสองข้าง ซึ่งนางเคยกำชับว่ามิให้ท่านยายออกไปไหนไกล ๆ
หญิงชรากล่าวตอบหลานสาว เห็นนางเอียงคอน้อย ๆ มองมา และสายตาดูเคลือบแคลงสงสัย “ยายไม่เป็นอะไร นี่ท่านแม่ทัพเซียวอวี้หยาง เขาช่วยยายเอาไว้” หญิงชราแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้มีพระคุณทันควัน ยังยิ้มเจื่อนมอบให้หลานสาวที่แสนน่ารักน่าชังอีกด้วย เพราะรู้สึกผิดที่ไม่ฟังคำเตือนของนาง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเซียว เชิญเข้าพักข้างในเรือนก่อน ข้าน้อยจะนำชามาให้นะเจ้าคะ” ไป๋ผิงอันรีบเอ่ยพลางผายมือเชิญเข้าไปด้านใน เซียวอวี้หยาง พยักหน้าและยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยมือจากหญิงชรา และเดินเข้าไปด้านในตามคำบอกกล่าวของดรุณีน้อยแสนน่ารัก
“แม่ทัพเซียวเชิญนั่งก่อนนะ” หญิงชราลอบมองชายหนุ่มอย่างพึงพอใจ หากเขายังไม่มีภรรยาก็ยิ่งดีนัก นางอยากจะมีลูกเขยอีกสักคนน่าจะเหมาะสมกับลูกสาวของนาง
“ขอบคุณมากขอรับ” แม่ทัพเซียวจู่ ๆ ก็ขนอ่อนลุกซู่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของสตรีสูงวัยรู้สึกใจคอไม่ดีสักเท่าไหร่
“ว่าแต่ ท่านแม่ทัพเซียวเดินทางท่องเที่ยวหรือ ถึงได้มาเมืองนี้ได้” หญิงชรามิรอช้ากล่าวสอบถามเล็กน้อย หากมีอันใดพอให้นางช่วยเหลือ ย่อมยินดีนัก หวังตอบแทนน้ำใจชายหนุ่มผู้นี้ที่ช่วยเหลือหญิงเฒ่าเยี่ยงนาง
“ข้าน้อยมาตามหาท่านหมอโจวขอรับ” ชายหนุ่มสีหน้าสลด นั่นเพราะตามหาท่านหมอโจวดูเหมือนจะยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรกระมัง จุดประสงค์จะมีอันใด นอกเสียจากจะขอร้องให้ท่านหมอช่วยรักษาอาการของหลานชายของตน ที่เขาป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายปี
นางขมวดคิ้วเข้าหากัน น้ำเสียงหยั่งเชิงคล้ายตั้งคำถาม “ตามหานางทำไมกันรึ” แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามีบรรดาผู้เจ็บป่วยทั้งหลายตามหาทำไม คงไม่พ้นเรื่องความเจ็บป่วย ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนตามหานาง เพราะความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรและการักษา จนกลายเป็นที่เรื่องลือว่าเป็นท่านหมอเทวดา
“ข้าอยากเชิญนางไปตรวจอาการของหลานชายขอรับ เขาป่วยมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่เกิดก็ผิดปกติเส้นผมไม่เหมือนใคร อาการกำเริบบ่อยครั้งไม่ดีขึ้นมาเลยก็ว่าได้” แม่ทัพเซียวกลัดกลุ้มกังวลใจ ยามนี้ก็ยังเป็นห่วงอาการที่เดี๋ยวทรงเดี๋ยวทรุด หมอหลวงต่างก็รักษาไม่หาย ความหวังเพียงหนึ่งเดียวอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายก็คือท่านหมอโจว
“ท่านก็เลยออกมาตามหานางด้วยตนเอง แล้วทิ้งหลานชายเอาไว้ที่นั่นนะหรือ” หญิงชราเหลือบตามองแม่ทัพเซียวเป็นระยะ แม้จะสนทนามาหลายประโยคแล้วก็ตาม มิเห็นว่าเขานำตัวหลานชายมาด้วย หากล้มป่วยหนักขึ้นมาไม่มีใครดูแลจะทำเช่นไรเล่า
แม่ทัพเซียวส่ายหน้าพร้อมกล่าวตอบกลับสตรีสูงวัย “เปล่าขอรับ ข้าให้เขารออยู่ที่โรงเตี๊ยม ตอนที่ข้าน้อยได้ช่วยท่าน” ยามนั้นพบว่านางถูกฉกชิงถุงเงินไป ก็เลยรีบตามไปจับกุมคนร้าย และยังพบว่านางอายุมากแล้วเหมือนเข่าจะอ่อนแรงจึงได้อาสาพามาส่งที่จวน
“อืม เช่นนั้นท่านก็นับว่าเป็นวาสนาแล้วล่ะนะ” หญิงชราคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี นับว่าเป็นวาสนาของเจ้าหนูผู้นั้นเสียแล้ว ช่างบังเอิญประจวบเหมาะนัก สวรรค์เมตตาแล้วจริง ๆ น้อยคนจะล่วงรู้ว่าจวนท่านหมอโจวอยู่ที่ไหนกันแน่
“ท่านหมออยู่ที่นี่หรือขอรับ” แม่ทัพเซียวย้อนถาม คิดว่าตนเองหูฝาดไป ดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างดีใจ เมื่อหญิงชราพยักหน้าตอบรับ เขาอยากจะร้องตะโกนให้สุดเสียงเสียเหลือเกิน ว่าในที่สุดก็ตามหาท่านหมอเทวดาพบแล้ว
หญิงชรากวักมือเรียกสาวใช้ เมื่อเห็นนางว่ายืนอยู่ข้างนอกข้างประตู รอรับคำสั่งของผู้เป็นนาย “ไปตามคุณหนูใหญ่มาหน่อยสิ บอกว่ามีคนมาขอให้ช่วย”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า” สาวใช้พยักหน้ารับคำจากนั้นจึงได้หมุนกายเร่งฝีเท้าไปรายงานคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลโจวให้ทราบทันที
ไป๋ผิงอันเดินแย้มแป้นเดินมายังเรือนรับรองด้านหน้าอีกครั้งหลังจากเมื่อครู่ไปห้องครัวมาเพื่อนำน้ำชามารับรองท่านแม่ทัพ เสี่ยวเสียนเดินตามแผ่นหลังของคุณหนูน้อย สองมือของนางยกถาดน้ำชาและขนมมารับรองมาด้วย เมื่อมาถึงแล้ว เสี่ยวเสียนนำกาน้ำชาและขนมวางเอาไว้บนโต๊ะ
ดรุณีน้อยยิ้มแป้นกล่าวขึ้นว่า “ท่านลุง น้ำชาเจ้าค่ะ”
“ขอบใจ คุณหนูโจวมาก” ชายหนุ่มวัยกลางคนรับน้ำชามาสูดดมก่อนจะค่อย ๆ พ่นลมเป่าให้น้ำชาได้คลายร้อน ทว่าจิตใจเขาร้อนรนเสียยิ่งกว่าน้ำชาที่เขาถืออยู่เสียอีก
“ท่านลุงแม่ทัพเจ้าคะ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ได้หรือไม่” ไป๋ผิงอันเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง นางอยากเก่งกาจมีวรยุทธ์จะได้ต่อกรรับมือกับพวกคนตระกูลไป๋
“ทำไมหรือ” เซียวอวี้หยางเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย น้อยครั้งจะเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้ออกปากอยากร่ำเรียนกับเขา และยังเป็นเด็กผู้หญิงอีกด้วย เกิดมามิเคยสอนสตรีสักครา จะไม่รับปากได้อย่างไรกัน
น้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาคู่สวยลุ่มลึก ริมฝีปากบางเผยอขึ้นกล่าวสิ่งที่นางได้ครุ่นคิด ทั้งยามหลับแลยามตื่น นางจึงได้แสร้งยกตัวอย่าง แท้จริงแล้วอยากกำจัดคนโฉดชั่วอย่างกวนลู่เจียวและไป๋ชิงหลินต่างหาก
“ข้าอยากปกป้องท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าอยากเก่งกาจกำจัดคนพาลอภิบาลคนดีเจ้าค่ะ”