ตอนที่ 5 พบหน้า
ยามนี้คุณชายเซียวหย่งเล่อ นอนซมอยู่ในโรงเตี๊ยมเพราะอาการป่วย มีนางกำนัลและองครักษ์ดูแลไม่ห่างกายระหว่างรอท่านแม่ทัพเซียวออกไปตามหาท่านหมอโจว ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาเสียที
นางกำนัลนั่งก้มหน้า สีหน้าดูหม่นหมองนักหนา ด้วยเป็นห่วงองค์ชายน้อย องครักษ์หนุ่มแน่นยืนปั้นหน้านิ่งกอดอก ในมือถือกระบี่เอาไว้ ใบหน้าของเขามักเรียบเฉย ทว่าดวงตาคมกริบกลับจดจ้องมององค์ชายสามด้วยความกลัดกลุ้ม
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไตร่ตรองดีแล้วจากนั้นจึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอยู่นี่นะ ข้าจะไปตามหานายท่าน” เพราะร้อนใจนักหนา เห็นองค์ชายนอนนิ่งมีเพียงแค่ลมหายใจแผ่วเบา จนทำให้เขาหวาดกลัวว่าการเดินทางครั้งนี้จะสูญเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย
“จะได้อย่างไรเล่า” นางกำนัลเงยหน้าขึ้นมา ชักสีหน้ามิพอใจ “นายท่านกำชับให้เจ้าอยู่ที่นี่ ขืนออกไปแล้ว หากนายท่านกลับมาแล้วไม่พบเจ้าจะทำเช่นไรเล่า” น้ำเสียงแข็งกระด้างของนาง กำลังตักเตือนชายหนุ่ม เนื่องจากท่านแม่ทัพกำชับเอาไว้
หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นยืน กางแขนทั้งสองข้างออก ขัดขวางชายหนุ่ม เขาช่างดื้อรั้นยิ่งนักขนาดนางเอ่ยปากห้ามปรามยังมิยอมฟังกันเสียบ้าง
“ห้ามออกไปนะ กลับไปยืนที่เดิมเดี๋ยวนี้” นางตะคอกใส่องครักษ์ ใบหน้าค่อนข้างจะเรียบเฉย แม้เขาจะกล้าล่วงเกินแล้วชักกระบี่ออกจากฝักวางพาดลำคอ ของนางหมายข่มขู่ ทว่ามีหรือนางจะหวาดกลัวจนหัวหดมิมีทาง
“เจ้า กล้าขัดขวางข้า มิกลัวดาบไม่มีตาหรืออย่างไรกัน” เขาไม่เคยพานพบสตรีใดกล้าต่อปากต่อคำเยี่ยงนางมาก่อน แล้วยังยืนจังก้าขวางทางเช่นนี้จะออกไปได้อย่างไรกันด้วยเพราะเขาเป็นห่วงองค์ชายจึงอยากออกตามหาท่านหมอช่วยอีกแรง
ซึ่งท่านแม่ทัพเดินทางออกจากโรงเตี๊ยมไปจะหนึ่งชั่วยามแล้วยังไม่กลับมาอีก หากชักช้ากว่านี้เกรงว่าองค์ชายสามอาการจะทรุดหนัก พวกเขามิใช่หมอ ทำได้เพียงแค่ดูแลเช็ดตัวเพียงเท่านั้น
ทั้งสองโต้เถียงกันไปมาครู่ใหญ่ แม่ทัพเซียวเดินทางมายังโรงเตี๊ยม เพื่อนำตัวหลานชายไปยังตระกูลโจว คิดไม่ถึงว่าสวรรค์ช่างเมตตานัก ด้วยความบังเอิญเขาช่วยหญิงชราเอาไว้ ทว่านางกลับกลายเป็นมารดาของท่านหมอเทวดา
“นายท่านตามหาท่านหมอพบหรือไม่เจ้าคะ” ร่างสูงใหญ่เปิดประตุเข้ามา เพียงนางกำนัลได้พบหน้า สิ่งแรกที่กล่าวถามคือท่านหมอ ด้วยความร้อนอกร้อนใจและเป็นห่วงองค์ชายน้อย ทว่าแววตานางยังมีความหวัง
เซียวอวี้หยางพยักหน้า “นำองค์ชายสามลงไปข้างล่าง” เขาสั่งการอย่างเร่งรีบ “ส่วนเจ้ากลับเมืองหลวง ทูลรายงานให้ฮองเฮาได้ทรงทราบ ต่อไปนี้องค์ชายสามจะพักรักษาตัวอยู่ที่ตระกูลโจว หากอาการดีขึ้นจะรีบเดินทางกลับเมืองหลวงทันที”
นางกำนัลรับคำ เตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง กราบทูลรายงานตามที่แม่ทัพเซียวแจ้ง องครักษ์ช้อนร่างองค์ชายสามผู้มีเส้นผมสีขาวโพลนตั้งแต่กำเนิด ร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงถูกอุ้มขึ้นมาแนบอก จากนั้นจึงได้นำลงมาข้างล่างและขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังจวนของท่านหมอเทวดา
ไป๋ผิงอันยืนรอยคอยท่านลุงแม่ทัพอยู่ประตูหน้าจวน นางชะเง้อคอมองไปยังถนนโล่ง สองข้างทางเป็นป่าไผ่ เกรงว่าหากแม่ทัพเซียวมาถึงแล้วจะได้รีบนำคนป่วยเข้าไปพักยังเรือนรับรอง
เสี่ยวเสียนนำเสื้อคลุมขนสัตว์ออกมาคลุมให้คุณหนูน้อยด้วยความเป็นห่วง “คุณหนูยืนตากลมเช่นนี้ระวังจะป่วยเอาได้นะเจ้าคะ”
สาวใช้แเอ่ยขึ้นกล่าวด้วยความหวังดี มือหยาบกร้านของนางผูกเชือกเสื้อคลุมให้เด็กน้อยแต่มีหรือที่ไป๋ผิงอันจะยอมเดินกลับไป นางหยุดที่เดิมพลางยิ้มแป้นหน้าระรื่น
“พี่เสี่ยวเสียนอย่าได้เป็นห่วงนักเลย ข้าแข็งแรงจะตายไป” ดรุณีน้อยเงยหน้าสบตาสาวใช้ แล้วยังส่งเสียงสดใสมอบให้นางอีกด้วย สาวใช้ทำได้เพียงพยักหน้าถอยหลังไปสามก้าวยืนอยู่ด้านหลังของคุณหนูอย่างสงบเสงี่ยม
ดรุณีน้อยเห็นว่าสาวใช้เงียบเสียงไป เกรงว่าจะงอน เช่นนั้นแล้วจึงหันหลังกลับ กอบกุมมือของเสี่ยวเสียนเอาไว้ ดวงตาดูหม่นหมองลงไปหลายส่วน น้ำเสียงถามไถ่แผ่วเบาด้วยความรู้สึกผิด “พี่เสี่ยวเสียนกำลังโกรธข้าอยู่หรือเจ้าคะ”
“เสียวเสียนมิได้โกรธคุณหนูเจ้าค่ะ เพียงแค่เป็นห่วง” สาวใช้ย่อตัวลงมานั่งทับส้นรองเท้า ระบายยิ้มอ่อนหวานมอบให้เจ้านายตัวเล็กที่แสนจะน่ารักน่าชัง “หากคุณหนูไม่สบายขึ้นมา ใครจะเป็นคนป้อนยาฮูหยินเจ้าคะ”
เสียงกึกกักของเกือกม้าย่ำตามถนนหนทาง สตรีต่างวัยทั้งสองรีบหันตามต้นเสียงทันที พบเห็นรถม้าคันใหญ่โตประดับประดาหรูหรายิ่งนัก สารถีจอดเทียบยังหน้าประตูจวนตระกูลโจว ไป๋ผิงอันรีบก้าวฝีเท้าด้วยจิตใจจดจ่อ และจ้องมองไปยังชายหนุ่มสวมชุดสีดำอุ้มพี่ชายเส้นผมสีขาวโพลนลงมา
คุณหนูน้อยไป๋ผิงอันถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก เกิดมามิเคยพานพบใครมีเส้นผมสีขาวตั้งแต่อายุเพียงไม่กี่หนาวเท่านั้น มิน่าเล่าท่านลุงแม่ทัพจึงได้ออกสืบเสาะตามหาท่านป้าของนาง แม่หนูน้อยเข้าใจในทันที นางรีบผายมือเชิญท่านลุงแม่ทัพและชายชุดดำ เพื่อนำทางไปยังเรือนรับรองที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เสร็จสรรพ
เสี่ยวเสียนรีบเร่งฝีเท้าไปตามคุณหนูใหญ่โจวกุ้ยถิงมาดูอาการของเด็กชาย ระหว่างทางได้พบกับสาวใช้อีกคน นางจึงได้กับชับขึ้นมาว่า “เสี่ยวจิ่น ช่วยเตรียมน้ำชาและน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพด้วย”
“อืม ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้” เสี่ยวจิ่นรับคำสหาย หมุนหันหลังกลับไปยังห้องครัวยามนี้ใกล้เวลารับสำรับมื้อกลางวันพอดี นางจะไปแจ้งแก่ฮูหยินผู้เฒ่า
ด้านเรือนรับรองแม่หนูน้อยใบหน้ากลมเกลี้ยง ผิวพรรณผุดผาด นั่งเหม่อมองยังพี่ชายที่เพิ่งจะรู้จัก เห็นเขานอนนิ่งใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ข้างกายของคนป่วย เหมือนว่าเขาอายุมากกว่านางเพียงแค่ไม่กี่หนาว มีชายหนุ่มยืนถือกระบี่เอาไว้ ท่าทางดูองอาจน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ท่านลุงรออีกครู่นะเจ้าคะ ข้าให้พี่เสี่ยวเสียนไปตามท่านป้าแล้วเจ้าค่ะ” แม่หนูน้อยเห็นใจคนป่วย อาการของเขาคงจะหนักหนาน่าดู ถึงได้นอนแน่นิ่งราวกับคนใกล้สิ้นลมหายใจ แค่เห็นสีหน้าของท่านลุงแม่ทัพก็ยิ่งเข้าใจว่า เป็นห่วงเพียงใด
ไป๋ผิงอันเข้าใจความรู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างดี ยามนั้นเพราะมารดาของนางก็เคยเจ็บป่วยสาหัสปางตายมาแล้ว หากมิใช่เพราะกวนซื่อวางยาพิษ ป่านนี้นางกับท่านแม่คงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ตระกูลไป๋ หาใช่จะได้มีความสุขอยู่ในจวนตระกูลโจวเฉกเช่นปัจจุบัน
ท่านหมอโจวกุ้ยถิงเดินถือล่วมยาเข้ามายังเรือนรับรอง เพียงแค่พบใบหน้าและเส้นผมของเด็กชายตัวผอมแห้ง นางก็ขมวดมุ่นคิ้วเข้าให้ “เกิดมามิเคยพบใครเป็นเช่นนี้มาก่อน” ช่างน่าสงสารนัก เมื่อจับชีพจรบนข้อมือของคนป่วยก็ยิ่งทำให้นางกังวลใจขึ้นมา
“เอาเป็นว่าข้าจะพยายามให้สุดความสามารถ แม้ไม่หายขาดแต่ก็อาจดีขึ้น” นางกล่าวได้ไม่เต็มปาก อาการของเขาดูแย่กว่าที่นางคาดคิดเอาไว้เสียอีก นึกไม่ถึงว่าพิษจะร้ายแรงขนาดนี้ นางยังครุ่นคิดว่า ใครกันนะที่ กล้าวางยาพิษฮองเฮาส่งผลถึงบุตรโอรสสวรรค์ ช่างมีจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยม
“ขอเพียงแค่ท่านหมอช่วยหลานชายข้าได้ หากท่านต้องการสิ่งใดตอบแทน ข้าพร้อมจะยินดีจะมอบให้ท่านขอรับ” น้ำเสียงของแม่ทัพเซียวช่างหนักแน่นนัก แววตาดูขึงขังขึ้นมากโข
โจวกุ้ยถิงระบายยิ้มอ่อน แววตาของนางดูราบเรียบ น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าวขึ้นมาเพียงแค่ว่า “ตัวข้าและตระกูลโจวมิต้องการสิ่งใดตอบแทน”
“แต่ข้าต้องการให้ท่านลุงสอนวรยุทธ์ให้ข้าเจ้าค่ะ” ไป๋ผิงอันรีบกล่าวแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าโอกาสนี้มาถึงแล้ว นางจะปล่อยให้หลุดมือไม่ได้
โจวกุ้ยถิงหลิ่วตามองหลานสาวเพียงหนึ่งเดียว มุมปากบิดขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าตัวแสบ เก็บเรื่องร่ำเรียนวรยุทธ์เอาไว้ก่อน ยามนี้ข้าต้องการให้เจ้าช่วย” นิ้วเรียวชี้ไปยังห่อผ้า แม่หนูน้อยพยักหน้ารู้ความพลางเปิดห่อผ้านั้นออกมา พบเข็มเงินและยังมีเข็มทองหลายสิบเล่ม วางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเกือบครึ่งเดือนแล้วที่องค์ชายสาม หรือคุณชายเซียวหย่งเล่อ ได้พักรักษาตัว อยู่ในจวนตระกูลโจว นอกจากอาการดีขึ้นแล้วยังมีใบหน้าสดใสขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน แล้วยังเดินเหินใช้วิชาตัวเบาได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวได้อีกด้วย ทว่าเขายังคงมีเส้นผมสีขาวเฉกเช่นเดิมมิเปลี่ยนแปลง
แม่ทัพเซียวเห็นเช่นนี้จึงได้เบาใจ เขาคุกเข่ายกมือประสานคารวะท่านหมอโจวกุ้ยถิง หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น นางกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ ข้ารับการคารวะของท่านไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ ข้าเป็นหมอธรรมดา หน้าที่ของข้าคือรักษาคนป่วย เห็นคุณชายเซียวอาการดีขึ้น ข้าก็เบาใจ”
“ข้ายังไม่ลืมคำสัญญา หากท่านหมอประสงค์สิ่งใด ข้าเซียวอวี้หยางจะนำมามอบให้ท่านเพื่อตอบแทนน้ำใจในครั้งนี้”
“ข้ามีสิ่งเดียวที่ยังค้างคาใจนัก รบกวนแม่ทัพเซียวช่วยตรวจสอบให้ข้าทีเถิด” นางยกมือขึ้นป้องปากกระซิบกระซาบ เกรงว่าจะมีใครเดินผ่านมาแล้วจะได้ยินเข้า
แม่ทัพเซียวนึกไม่ถึงว่าตระกูลไป๋จะมีเรื่องราวอันแสนโหดร้ายเกิดขึ้นมาก่อน “ข้ารับปากว่าจะช่วยท่านอย่างสุดความสามารถ” เขารับปากอย่างหนักแน่น ชายหนุ่มยังคงนึกถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อน จึงได้เกริ่นขึ้นมาว่า “แท้จริงแล้วขุนนางไป๋มีบุตรีสองคนหรอกหรือ”
โจวกุ้ยถิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “เรื่องอันใดกัน”
เซียวอวี้หยางยิ้มอบอุ่น ทอดสายตามองไปยังสวนกว้างเบื้องหน้า “ไม่มีอันใดหรอกขอรับ เวลาคงเป็นเครื่องพิสูจน์”