ตอนที่ 2 แผนการ
ดรุณีน้อยรีบเร่งฝีเท้าออกจากเรือนหลังเล็กท้ายจวนทันที หัวใจดวงน้อยของนางบีบอัดแน่นด้วยความ ทรมานแทบขาดใจก็ว่าได้ เพราะรีบร้อนไปแจ้งข่าวร้าย จึงสะดุดกิ่งไม้หกล้ม เข่าทั้งสองข้างกระแทกลงพื้นอย่างจัง สร้างความเจ็บปวดให้นางไม่น้อยทีเดียว ฝ่ามือก็พลอยเป็นแผลถลอกโลหิตไหลซึมออกมาให้เห็น
เด็กน้อยหยัดกายลุกขึ้นอีกครั้ง หกล้มแค่นี้แม้เจ็บปวดแต่ก็ไม่ถึงปวดใจ ดวงตาคู่งามอาบไปด้วยน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย เสียงสะอึกสะอื้นไห้ของไป๋ผิงอัน
ทำให้สาวใช้และบ่าวทั้งหลายต่างหยุดการทำงานลง ผินหน้ามองตามแผ่นหลังของคุณหนูน้อยที่ร้องไห้จ้าไปยังเรือนใหญ่ พวกเขาทั้งหลายต่างคิดในแง่ร้าย ฮูหยินเอกคงสิ้นใจแล้ว
สองเท้าเล็ก ๆ วิ่งกระหืดกระหอบหยุดยังหน้าเรือนใหญ่ เพียงแค่มองเข้าไปเห็นภาพครอบครัวอันอบอุ่น รู้สึกอิจฉายิ่งนัก ทว่ายามนี้มารดาได้สิ้นใจไปแล้ว ด้วยเหตุผลเดียวที่นางจะต้องมายังเรือนหลังนี้เพื่อแจ้งข่าวร้าย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านแม่ ฮึก ฮึก ท่านแม่จากข้าไปแล้ว” ไป๋ผิงอันกล่าวจบ บิดาก็ทำหน้าเมินเฉย ส่วนผู้ที่เป็นพี่สาวเกิดก่อนนางเพียงแค่สามวัน ถูกบิดาโอบอุ้มเอาไว้ในอ้อมกอด ต่างจากนางอย่างสิ้นเชิงอ้อมกอดนั้นมิเคยเป็นของนางสักครั้ง และน้ำเสียงอันอบอุ่นดวงตามีแต่ความห่วงใย มิเคยได้ครอบครองเลยก็ว่าได้
ขุนนางไป๋คลายอ้อมกอดบุตรีคนโต วางนางลงบนเก้าอี้ มองมายังลูกสาวคนที่สอง สายตามิค่อยพอใจสักเท่าไหร่ เขาเพียงแค่พยักหน้า กล่าวคำสั้น ๆ ออกมา “จะให้ข้าทำยังไง” ถ้อยคำของบิดาช่างดูสะท้อนจิตใจของเขาเสียเหลือเกิน
ไป๋ผิงอันทรุดกายคุกเข่าลงบนพื้น ความหวังที่ยังหลงเหลืออยู่มันได้มลายหายไปสิ้น เพียงเพราะคำพูดที่เชิงตัดขาดความสัมพันธ์ มือป้อม ๆ กำกระโปรงผ้าหยาบเอาไว้ ดวงตาคู่งามแดงก่ำเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
กวนซื่อรอวันนี้มานาน นางดีใจจนเผยรอยยิ้มขึ้นมา จีบปากจีบคอกล่าวขึ้น “อิงเอ๋อร์ของพวกเราช่างน่าสงสารนัก พี่สาวด่วนสิ้นใจไปเช่นนี้” นางเหลือบตามองมายังเด็กสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “จะทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ”
ขณะกล่าวนางก็ยังคงสีหน้าระรื่น มีคนตายในจวนแท้ ๆ ไม่ทุกข์โศกเศร้าสักนิด ขุนนางไป๋หาได้ดูทุกข์ใจที่ฮูหยินเอกจากไปเช่นกัน ถ้อยคำสั้น ๆ กล่าวขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “อืม นางคงจะไปสบายแล้ว”
กวนซื่อไม่รู้สึกกระดากปากสักนิด นางกลับคำเปลี่ยนพลิกลิ้นทันใด “ท่านพี่ อันเอ๋อร์คงจะเสียใจมาก พี่สาวด่วนจากไปเช่นนี้” มุมปากของนางเหยียดยิ้มสาแก่ใจ ที่อีกฝ่ายตายไปได้เสียที ทุกอย่างจะตกอยู่ในกำมือของนางแต่เพียงผู้เดียว
“ท่านพ่อ ท่านพ่อมิไปดูท่านแม่หน่อยหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยกล่าวถามพลางขอร้องไปด้วย
“คนก็ตายไปแล้ว จะดูอะไรอีก จัดงานศพให้นางเงียบ ๆ ส่วนเจ้าหลังจากจัดงานให้แม่เจ้าแล้วก็จงอยู่แต่ในเรือนอย่าได้ออกมาเพ่นพ่านเล่า” ขุนนางไป๋ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาหย่อนก้นนั่งลงสวมกอดบุตรีคนโตเอาไว้ด้วยความรัก อีกทั้งยังซุกจมูกหอมแก้มของไป๋ชิงหลินอย่างเอ็นดู
นึกไม่ถึงว่าบิดาของตนอันจะใจจืดใจดำเช่นนี้ มารดาสิ้นใจไปทั้งคน ยังคงอารมณ์ดีหยอกเย้าพี่สาวต่างมารดา มีหรือจะไม่ให้นางเจ็บปวดใจกับภาพเบื้องหน้าที่ได้พบ
เป็นเช่นนี้แล้วเด็กน้อยจึงได้เก็บความคับอกแค้นใจเอาไว้ รอวันที่นางเติบใหญ่ จะทวงคืนทุกสิ่งที่เป็นของนาง แววตาของกวนซื่อที่มอบให้นาง ทั้งดูถากถางและเหยียดหยัน ไป๋ผิงอันจะจดจำเอาไว้ มิลืมเลือนความแค้นนี้
พลันโจวกุ้ยถิงเข้ามาได้ยินถ้อยคำของน้องเขยพอดิบพอดี คล้ายว่าจงใจก็ว่าได้ นางยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาอันแสนโหดร้าย แม้จะสิ้นใจไป สามีก็มิรักมิใส่ใจเหมือนเมื่อก่อน เช่นนี้แล้วนางไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจใครทั้งนั้น
“หากจัดงานให้น้องข้าเงียบ ๆ มิสู้ส่งศพกลับไปที่ตระกูลโจวดีกว่า” น้ำเสียงแข็งกระด้าง แววตาช่างดุดันนัก โจวกุ้ยถิงมิให้ความสลักสำคัญอันใดกับอีกฝ่าย ในเมื่อชายคนนี้ตัดขาดความสัมพันธ์ กระทั่งภรรยาเอกจากไปก็ไม่ล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย นี่หรือคนที่รักกันเขาทำกันเช่นนี้
“พี่สาว ท่านกล่าวหนักเกินไปหรือไม่ นางตายก็ต้องเป็นผีตระกูลไป๋ มิใช่ตระกูลโจวอีกแล้ว” ขุนนางไป๋รีบตอกกลับไปทันใด เพราะไม่พอใจพี่สาวภรรยาที่เข้ามายุ่มย่ามเรื่องภายในตระกูลของเขา
โจวกุ้ยถิงหางคิ้วกระตุกอยากจะยกเท้าขึ้นถีบหน้าเจ้าน้องเขยตัวดีเสียเหลือเกิน แต่ทำใจเย็นเอาไว้ก่อน และเห็นว่าตระกูลไป๋ยามนี้คล้ายว่าขัดสนเงินทอง เช่นนั้นแล้วนางจะยื่นมืออนุเคราะห์อีกฝ่ายก็แล้วกัน
“ข้า ได้ข่าวมาว่าฐานะการเงินของเจ้ามิสู้ดี งั้นเอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เรื่องงานศพของนาง ข้าจะจัดให้เองเจ้ามิต้องสิ้นเปลือง อีกอย่างหลานสาวคนนี้ ข้าล่ะกลุ้มอกกลุ้มใจเสียจริง” นางเหยียดยิ้มเมื่อเห็นสายตาของกวนซื่อลุกวาวเพราะนางจะไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองสักอีแปะเดียว
โจวกุ้ยถิง ยังคงกล่าวลื่นไหลปั้นน้ำเป็นตัวอีกด้วย “เช่นนั้นข้าขอส่งนางไปที่อารามแล้วกัน พวกเจ้าจะได้ไม่เปลืองข้าว เปลืองน้ำดูแลนาง ข้าเองก็มิอยากให้นางอยู่ด้วย อีกทั้งข้าก็เกรงใจพวกเจ้าที่จะต้องเลี้ยงดูนางให้เป็นภาระ”
กล่าวจบพลางเหลือบมองน้องเขยตัวดีกับสตรีร้ายกาจ นางแค้นใจคนพวกนี้นัก อยากจะวางยาพิษให้ตายตกตามกันไปเสียจริง ๆ ความคิดอันชั่วร้ายผุดขึ้นมาอย่างดื้อ ๆ
โจวกุ้ยถิงจำต้องสลัดความคิดนี้เอาไว้ วางยาพิษให้ตายเร็ว มันดีเกินไป มิสู้ให้พวกมันตายอย่างช้า ๆ ถึงจะดูน่าสาแก่ใจมากกว่า
“ก็แล้วแต่ท่านแล้วกัน” ขุนนางไป๋ มิได้เห็นดีไปกับพี่สาวภรรยา ทว่าแววตาจิกกัดของภรรยารองทำให้เขาต้องออกปากรับคำส่ง ๆ ไป
ไป๋ชิงหลินส่งสายตาออดอ้อนบิดา กล่าวเรียกร้องความสนใจ เมื่อพบว่าบิดามองใบหน้าของน้องสาวต่างมารดา มีหรือเด็กน้อยเช่นนางจะยอมให้บิดาสนใจคนอื่น “ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าอยากกินผลไม้เชื่อม ท่านพ่อพาข้าไปซื้อที่ตลาดได้หรือไม่เจ้าคะ”
เด็กน้อยออดอ้อนบิดา ใบหน้ากลมคล้ายซาลาเปาแนบใบหน้าเข้าแผงอกของขุนนางไป๋ สิ่งที่ไป๋ชิงหลินได้กระทำลงไปล้วนเพราะไม่พอใจอีกฝ่ายในใจอยู่แล้ว เช่นนั้นนางมิยินยอมให้บิดารักใคร่เอ็นดูผู้ใดอีก นอกเสียจากจะเป็นเพียงแค่นางผู้เดียวเท่านั้น
ไป๋ผิงอันรู้สึกอิจฉาพี่สาวต่างมารดาเสียเหลือเกิน อ้อมกอดของบิดามิเคยเป็นของนางสักครั้ง น้ำเสียงอบอุ่น มิเคยได้ฟัง ถ้อยคำแข็งกระด้างมักจะเป็นของนางเสมอ จะไม่ให้นางอิจฉาริษยาพี่สาวผู้นี้ได้อย่างไรกัน ภาพอันแสนอบอุ่นนั้น ทำให้นางก้มหน้างุดลงมา มิกล้ามองมันอีก
ขุนนางไป๋ช่างรักลูกลำเอียงยิ่งนัก โจวกุ้ยถิงมิพอใจ เห็นเช่นนี้แล้วก็ปวดใจแทนหลานสาวเหลือคณา จึงได้ชักชวนหลานสาวให้ออกห่าง ขืนอยู่ต่อ มีหวังนางคงจะได้วางยาพิษคนพวกนี้เข้าให้ “ไปกันเถิด มารดาของเจ้ารออยู่”
ดรุณีน้อยยกมือขึ้นปาดน้ำตาไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อบิดา นางมีแต่ความคับอกแค้นใจ น้ำเสียงแผ่วเบากล่าวไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ข้าก็เป็นลูกของท่านพ่อเหมือนกัน แต่เหตุใดข้าจึงไม่ได้รับความรักเช่นนั้นสักครั้ง หรือว่าแท้จริงแล้วท่านพ่อไม่เคยรักข้า ไม่เคยรักท่านแม่ของข้า”
โจวกุ้ยถิงได้ฟังถ้อยคำตัดพ้อต่อว่านี้ นางก็ปวดใจไม่น้อยนัก “พ่อของเจ้าคงจะโง่งมกระมัง ถึงมองไม่เห็นว่าเจ้าน่ารักเพียงใด ใครไม่รักก็ช่างอย่าไปใส่ใจอีกเลย มีข้ากับท่านแม่และท่านยายของเจ้าเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว”
น้ำเสียงที่อบอุ่นอาดูรของท่านป้าทำให้ไป๋ผิงอันยิ้มออก แต่ภายในอกซึ่งมีก้อนเนื้อน้อย ๆ ด้านซ้ายนั้นมันมีแต่ความคับแค้นใจเกินจะบรรยายมันออกมาได้
ภายในเรือนเล็กท้ายจวนซึ่งเป็นเรือนของฮูหยินเอก ถูกสามีทอดทิ้งมาหลายปี ยามนี้ร่างผอมแห้งใบหน้าซูบจนมองเห็นโหนกแก้ม ถูกผ้าสีขาวคลุมปิดทั่วทั้งร่าง ไร้ซึ่งลมหายใจเหลือเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณเท่านั้น
โจวกุ้ยถิงจัดการทุกอย่างภายในระยะเวลาอันแสนสั้น ภายในวันนี้เรื่องทุกอย่างจะจบลง เมื่อนางเดินเข้ามาก็พบว่าชายชรากำลังจัดเตรียมงานศพให้ร่างนอนแน่นิ่งบนเตียง จึงได้รีบกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนใจ “ท่านพ่อบ้าน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด ข้าจะส่งน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย”
ชายชราเห็นว่าไม่เหมาะนักจึงได้กล่าวแย้งขึ้นมา “แต่ว่านางเป็นฮูหยินเอก เกรงว่าจะไม่เหมาะนะขอรับ”
น้ำเสียงของสตรีสูงวัยแข็งกร้าวขึ้นทันตา ดวงหน้าของนางยังคงบึ้งตึงมิพอใจ “ไม่เหมาะอันใด อันใดคือเหมาะสมไม่เหมาะสม เจ้านายของพวกเจ้าเขาก็หมางเมิน เช่นนี้แล้ว ตัวข้าเป็นพี่สาวของนาง เป็นญาติเพียงคนเดียว ผิดหรือจะส่งน้องสาวขึ้นสวรรค์”
ไป๋ผิงอันกล่าวช่วยท่านป้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนี้มีหวังมารดาของนางได้ไปเยือนปรโลกเป็นแน่ “ท่านลุง ปล่อยให้ท่านป้าจัดการเถิด หากยังเห็นข้าเป็นคุณหนูอยู่ โปรดหลีกทางให้ท่านป้าจัดการเสีย ข้าหวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือ
ข้าไม่เคยร้องอะไรสักครั้ง ถูกข่มเหงรังแกมากเพียงใด มิเคยออกปากตัดพ้อต่อว่า หรือว่าท่านลุงก็เห็นข้าเป็นเพียงแค่คนไร้ค่าในจวนนี้กระมัง”
“ไม่ใช่ขอรับคุณหนู เพียงแต่ว่าข้า...” ชายชราหน้าถอดสี ปกติคุณหนูน้อยมิเคยกล่าววาจาเช่นนี้ ไม่รู้จะตอบนางอย่างไรดี
ดรุณีน้อยสบโอกาสเห็นว่าท่านลุงพ่อบ้านมีสีหน้าเหลอหลา ซ้ำยังพูดจาอึกอัก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไป๋ผิงอันจึงได้เปล่งน้ำเสียงเฉียบขาดออกมา “ไม่มีแต่ พวกท่านไปทำงานกันเถิด ที่นี่มอบให้ท่านป้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว”