บทที่4
เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้
“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”
“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”
“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”
“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”
เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีก
ซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น
“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”
คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จนน้ำตามันลอยคลออยู่เต็มเบ้า ไม่คิดเลยว่าความคิดชั่วร้ายนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่เธอหลงรัก ตงหยางไม่มีความเมตตาให้เธอ แถมยังจะให้เธอเป็นแม่อุ้มบุญ งานแต่งที่เธอคิดว่าจะสวยงาม ตอนนี้คงมีแค่สัญญาเท่านั้นที่ค้ำคออยู่
มือที่หยิบปลายปากกาขึ้นมามันสั่นระริก พลางดวงตากลมสวยก็มีน้ำตาคลอแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว สิ่งที่ซิงเหยียนคิดในหัวตอนนี้คือ ต้องเซ็นสัญญาตามไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงถูกตงหยางเล่นงานตามที่เขาพูดเป็นแน่
ตวัดลายเซ็นลงไปในกระดาษสีขาวที่มีตัวหนังสือเต็มไปหมด เมื่อเซ็นแล้วเธอก็วางปากกาลง เป็นจังหวะที่ตงหยาง เอื้อมมือมาจับดูความเรียบร้อย
“นับว่าเธอยังมีความฉลาดในตัว เอาละหลังจากนี้ก็เหลือแต่งานแต่ง อ้อ...ฉันลืมบอกเธอไปว่างานแต่งที่จะถึงจะมีแค่แขกคนสำคัญเท่านั้น ไม่ได้จัดยิ่งใหญ่อะไร ส่วนเธออยากจะบอกเพื่อนก็ตามใจ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ หลังสิ้นคำพูดนั้นตงหยางก็เดินถือเอกสารออกจากห้องทำงาน ปล่อยให้ซิงเหยียนยืนน้ำตาตก เธออดกลั้นมันเอาไว้ถึงขีดสุด แต่เมื่อเขาเดินจากไปน้ำตานั้นก็ พรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย
#วันแต่งงาน
แขกที่มาร่วมยินดี ก็มีแค่คนสำคัญอย่างที่ตงหยางพูด กรรมการบริษัท หุ้นส่วนคนอื่นๆ สาเหตุที่ต้องเชิญคนเหล่านี้มาเพราะจะได้เป็นพยานด้วยว่าเขาแต่งงานตามกฎของพินัยกรรมทุกอย่าง หากไม่มีผลประโยชน์ร่วม ก็คงไม่มีงานแต่งแน่นอน
ส่วนซิงเหยียนแขกของเธอก็มีแค่ซูซ่านและพี่ชายคือซูซาง หากจะพูดไปแล้ว ซูซางก็เป็นเพื่อนกับตงฉินเรียนที่เดียวกัน แม้ว่าจะคนละคณะแต่ด้วยทั้งคู่เคยเรียนร่วมกันเมื่อสมัยมัธยมปลาย จึงทำให้เขาทั้งสองรู้จักกันดี และทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่
“เหยียนเหยียนวันนี้เธอสวยมากเลยนะ”
คำชมแสนจริงใจของซูซ่านเธอพูดพร้อมรอยยิ้มสดใสเมื่อเอ่ยชมเพื่อนรักไปแล้ว ส่วนคนที่ยืนข้างกายเธอนั้นคือหมอซาง
“ฉันขอบใจเธอและพี่ซางมากนะที่มาร่วมงานแต่ง”
“ระดับประธานกู้ตงหยาง ทำไมถึงเชิญแขกน้อยนักละ”
คำพูดของเพื่อน ทำเอาซิงเหยียนต้องกวาดสายตามองโดยรอบ คนที่มาร่วมงานในครั้งนี้ก็บอกว่ามีแต่คนสำคัญ ส่วนคุณนายหลี่ คงไม่ต้องบอกรายนั้นไม่ย่างเท้าแม้เข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ
“ก็มีแต่คนสำคัญของบริษัททั้งนั้น”
“เอาเถอะ ยังไงก็แสดงความยินดีกับเธอด้วยแล้วกัน ว่าแต่แม่สามีเธอไม่มาด้วยเหรอ”
มันอดไม่ได้จริงๆ ที่ซูซ่านจะถามคำนั้น ปกติแล้วงานมงคลแบบนี้ แม่สามีของเธอก็น่าจะมาร่วม แต่ดูเหมือนไร้เงาของคุณนายหลี่น่า
คำถามของซูซ่าน ทำเอาดวงตากลมที่ทอประกายวาววับ มัวหมองลงถนัด เธอรู้ดีว่าการแต่งงานที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นนี้ มันเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น ครอบครัวของตงหยางคงไม่รับเธอเป็นสะใภ้จริงๆ
แขกมาร่วมงานเริ่มทยอยมาเกือบครบ บรรยากาศในงานค่อนข้างจัดแบบเรียบง่ายไม่ได้มีพิธีอะไรมากมาย ดูเหมือนว่าตงหยางตั้งใจจะจัดแค่ให้มันผ่านพ้นเพื่อที่เขาจะได้ขึ้นไปดำรงตำแหน่งอย่างเปิดเผย
แม้ว่าคุณนายหลี่น่าจะไม่มาร่วมงานฉลองสมรสลูกชาย แต่ตงฉินลูกชายคนรองของบ้านก็ไม่ขาดหายไปไหน เขานำกล่องของขวัญเข้ามาให้พี่สะใภ้ด้วยความปรีติยินดี แม้ว่าการแต่งงานครั้งนี้แอบลุ้นว่าจะเป็นตัวเองแต่ ความจริงก็พอรู้ว่า ซิงเหยียนมีใจให้พี่ชายไปแล้ว
หากจะบอกว่างานแต่งผ่านพ้นไปเร็วพอสมควร ก็คงไม่แปลก เพราะในงานไม่ได้มีพิธีอะไรเลย แม้กระทั่ง ประวัติคู่บ่าวสาม แถมไม่ได้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งนั้น เมื่อจบงานมงคลช่วงเช้า พิธีเข้าหอก็เริ่มต้นขึ้น
#ห้องหอคืนแรกที่อยู่ในโรงแรมตระกูลกู้
ดูเหมือนคนร่างเล็กจะสั่นเทาด้วยความกลัว ครั้งแรกที่เธอจะต้องนอนร่วมห้องกับผู้ชาย แถมชายคนนั้นยังเป็นคนที่ได้ใจเธอไปครองโดยที่เขาไม่รู้ตัว
แอ๊ดด
เสียงเปิดประตูแทรกร่างสูงเข้ามาภายในห้องนอนกว้าง โดยมีเจ้าสาวพึ่งจะผ่านพิธีการแต่งงานใหม่ๆ นั่งรอก่อนหน้า ซิงเหยียนในชุดเจ้าสาวเปิดไหล่สีขาว ลายลูกไม้ ทรงผมถูกม้วนเกล้าไปทางด้านหลังเปิดเผยใบหน้าจิ้มลิ้มได้รูป ริมฝีปากที่แต่งด้วยลิปสติกสีชมพูหวานรับกับจมูกโด่ง ดวงตากลมโตทอดมองไปทางชายร่างสูงที่กำลังสาวเท้าเข้ามาอย่างใจจดจ่อ
“พี่หยาง ค่ะ คือ”
ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแต่ปากมันสั่นไปหมด เพียงแค่เห็นร่างสูงโปร่ง ผิวขาวสะอาดใบหน้าหล่อคมเท่านั้น ใจก็พลันสั่นตามไปด้วย
“ทำไมเธอยังไม่ถอดชุดเจ้าสาว หรือต้องการให้ฉันถอดให้”
คำพูดที่ไม่คิดอายของเขา แต่ทำเอาใบหน้าหวานแอบแดงระเรื่อเล็กน้อย คำว่าต้องการให้เขาถอด เธอรู้สึกอายจนตัวบิด
วินาทีนั้นเอง สายตาของเธอก็มองไปทางเขา สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ ตงหยางกำลังถอดเสื้อผ้าเขาออก อย่างไม่นึกอายสักนิด แค่แว็บเดียวเท่านั้น ชุดสูทสีเข้มก็กองลงที่พื้นพร้อมด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเช่นกัน และสิ่งที่ซิงเหยียนไม่เคยเห็นมันมาก่อน คือรอยสักทั้งแขนของเขา