บทที่2
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ตงหยางหน้านิ่งเอาแต่นั่งตักข้าวใส่ปาก ไร้แม้บทสนทนา ทำเอาบรรยากาศพลอยอึดอัดอยู่เล็กน้อย ส่วนซิงเหยียนเธอเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือถามอะไร ทั้งๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วย
ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะพาอึดอัดจริงๆ ตงฉินเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้านิ่งราวหุ่นยนต์ของพี่ชาย ก่อนที่ตัวเขาจะเป็นคนเอ่ยถาม
“พี่ใหญ่ งานแต่งจะจัดขึ้นตอนไหน”
เชื่อเถอะว่าคนที่ แทบสำลักอาหารที่ทานคือซิงเหยียน ส่วนตงหยางหน้านิ่งเขาชะงักก็จริงแต่ก็ทำนิ่งต่อ จนน้องชายต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า ผมถามว่าพี่จะแต่งงานกับเหยียนเหยียนตอนไหน”
ใบหน้าที่นิ่งยิ่งกลัวสายน้ำที่ไม่ไหวติงนั้น ช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเขาจะวางช้อนและส้อมลงที่จานใบหรู หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มด้วยท่าทางสง่า จากนั้นก็หันมามองใบหน้าสวยที่เอาแต่นั่งก้มหน้า
“เดือนหน้า คงไม่ช้าไปใช่ไหมซิงเหยียน?”
น้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมสายตาที่แฝงความโหดร้ายทำเอาซิงเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอตอบเขาอย่างตะกุกตะกัก
“มะ ไม่ช้าหรอกค่ะ เร็วไปด้วยซ้ำ”
“ดี! ฉันจะสั่งคนให้มาดูแลเธอและพาเธอไปลองชุด”
“อ้าว ทำไมพี่ไม่พาเหยียนเหยียน ไปละครับ”
เสียงที่แทรกขึ้นนั้น ทำเอาสายตาคู่ที่ไม่เป็นมิตรหันมามองน้องชายเพียงคนเดียวของเขา ก่อนที่ประโยคอันแสนเจ็บปวดจะหลุดออกมาจากปากเจ้าของร่างสูง
“ฉันไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระหรอกนะ!”
พรึ่บ
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วสาวเท้ายาวออกจากโต๊ะอาหารทันที พร้อมทิ้งประโยคนั้นไว้ให้ซิงเหยียนจุกอก
“เหยียนเหยียน เธออย่าสนใจคำพูดพี่ใหญ่เลย เขาก็เป็นแบบนี้แหละ”
เธอรู้ว่าเขาเป็นแบบนั้น แต่เขาน่าจะคิดบ้างว่าเธอกำลังจะแต่งงานใช้ชีวิตคู่ หากไม่ชอบเธอแล้วทำไมถึงยอมแต่ง
“พี่ฉิน ฉันไม่เป็นไรค่ะ ทานเถอะเดี๋ยวอาหารเย็นจะไม่อร่อย”
เธอพยายามจะกลบเกลื่อน ไม่อยากให้สิ่งที่น่าสมเพชที่สุดต้องไหลออกมาต่อหน้าตงฉิน หากจะถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรนั้นมันก็คงเจ็บ การแต่งงานที่เขามองว่าไร้สาระ หากจะเป็นแบบนั้นไม่ต้องแต่งเสียดีกว่า
เวลาผ่านไปค่อนข้างจะเร็วมาก อย่างที่ตงหยางพูดไว้ เขาจัดการส่งคนมาช่วยซิงเหยียนเพื่อพาไปร้านชุดเจ้าสาว มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอจะต้องทำคือลองชุด เพราะเขาบอกเธอว่าที่เหลือเขาจัดการเอง
ร้านอาหาร
คนที่นัดไว้ว่าจะมาทานข้าวด้วยกันวันนี้ก็คือ ซูซ่าน เธอเป็นเพื่อนของซิงเหยียนตั้งแต่เรียนมัธยมจนกระทั่งมหาวิทยาลัย และที่นัดทานข้าวกันวันนี้เป็นเรื่องที่ซิงเหยียนเธออยากปรับทุกข์ในใจกับเพื่อนเท่านั้น
“เหยียนเหยียน มานานแล้วเหรอ”
เสียงที่โพล่งมาก่อนตัว จนซิงเหยียนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมามอง พร้อมรอยยิ้มหวานส่งให้เพื่อน
“ฉันพึ่งมาไม่นาน”
ซูซ่านเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งฝั่งตรงข้ามของซิงเหยียน รอยยิ้มตาหยีแสดงความมีสุขเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
“ทำไมอยู่ๆ อยากนัดมาทานข้าวละ หรือว่าเจ้าบ่าวของเธอไม่ว่างเลยนัดฉันแทน”
ประโยคของซูซ่านทำเอาใบหน้าผ่องที่มีรอยยิ้มเมื่อครู่ ต้องหุบยิ้ม สีหน้าของเธอบึ้งตึงลงเล็กน้อย มันแสดงถึงความเศร้าที่เกาะกินในหัวใจ ที่นัดเพื่อนมาวันนี้ ก็เพราะเรื่องงานแต่งที่จะถึงไม่กี่วันข้างหน้า
“ทำไมเธอทำหน้าแบบนั้น ดูเหมือนคนไม่มีความสุขเลยนะ”
“ก็เพราะเรื่องแต่งงานนี้แหละที่ฉันนัดเธอออกมาทานข้าวด้วย อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เป็นวันมงคล แต่พี่หยางเขาไม่เคยสนใจเรื่องงานเลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม คุณปู่ถึงอยากให้ฉันแต่งงานกับเขา”
เสียงพ่นลมดังพรืดใหญ่ ซูซ่านรับรู้ถึงความรู้สึกเพื่อนที่มีต่อตงหยาง แม้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะไม่ได้มองซิงเหยียนอยู่ในสายตาก็ตาม ทว่า ความรักที่มันแอบเกิดขึ้นในใจสมัยซิงเหยียนตั้งแต่อยู่มอปลาย เหมือนจะมั่นคงตลอดมา
“เหยียนเหยียน คุณปู่กู้คงอยากให้เธอสมหวังกับความรัก และท่านคงคิดดีแล้ว”
“แต่พี่หยางเขาไม่เคยรักฉันสักนิด พี่หยางก็มองฉันเป็นศัตรูเสมอมา”
“นั่นเพราะคุณนายหลี่ต่างหากละ เมื่อก่อนตงหยางก็ไม่ได้เกลียดเธอนี่เพียงแต่เขาไม่พูดเท่านั้น แต่ที่เกลียดเธอเพราะแม่เขาเป่าหูหรอก หาว่าเธอทำพ่อเขาตาย แต่เขาจะรู้ไหมความจริงคืออะไรกันแน่”
“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ต่อให้เรื่องจริงเป็นแบบไหน พี่หยางเขาก็เกลียดฉันไปแล้วละ”
ระหว่างที่นั่งคุยกันในร้าน เมนูของทางร้านก็ถูกเปิดออก ดวงตาคู่หวานของซิงเหยียนกวาดมอง ก่อนที่เธอจะสั่งเมนูที่อยากทาน ส่วนซูซ่านก็เช่นกัน
บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างที่จะสบายดูไม่แออัดจากผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ หรือเพราะร้านนี้ถูกตั้งอยู่รอบนอกเมืองมีต้นไม้ให้ความร่มรื่น ต่างจากเขตเมืองที่ผู้คนแออัดจนรู้สึกว่าจะทานอะไรก็ไม่คล่องตัว
หลังจากที่นั่งทานมื้อเที่ยงกันแล้ว ซิงเหยียนเธอก็เล่าให้ซูซ่านฟังเรื่องที่เธอพึ่งไปลองชุดโดยไม่มีว่าที่เจ้าบ่าวไปด้วย และสิ่งที่เขาพูดเมื่อหลายวันก่อนก็ทำเอาเธอเองแอบน้อยใจอยู่บ้าง
หลังจากที่นั่งทานและพูดคุยกันอยู่สักพัก ซิงเหยียนเธอก็ขอแยกกับเพื่อนตรงนั้น โดยมีคนขับรถของทางบ้านมารอรับอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากนั่งแท็กซี่ แม้ว่าเธอเองจะเป็นแค่ผู้อาศัยเมื่อครั้งคุณปู่ยังอยู่ แต่ท่านก็ไม่เคยให้เธอนั่งรถคันอื่นสักครั้ง นอกจากรถที่บ้านเท่านั้น และยิ่งตอนนี้เธอมีฐานะเป็นถึงเจ้าของบ้านอีก
บ้านตระกูลกู้
กว่าจะกลับมาถึงคฤหาสน์หรูได้ ก็เกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว ที่ช้าก็เพราะแวะซื้อของใช้ส่วนตัว แต่เมื่อมาถึงก็เห็นว่ารถประจำตัวของตงหยางจอดอยู่ เพียงสายตาเหลือบไปมองก็เหมือนจะแปลกใจอยู่บ้าง ปกติแล้วตงหยางจะไม่กลับบ้านเร็วขนาดนี้
ร่างเล็กบอบบางเดินเข้ามาในคฤหาสน์หรู พร้อมข้าวของส่วนตัวที่เธอซื้อเข้ามาใช้ เวลานี้เหล่าแม่บ้านหลายคนก็ต่างให้ความเคารพเธอ เพราะเธอคือเจ้าของบ้านคนใหม่ที่ไม่ใช่คุณนายหลี่ แต่หลายคนก็ยังมองเธอว่า เธอเป็นกิ้งก่าได้ทอง ฮุบสมบัติของตระกูล เธอมันก็แค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น