บทที่1
หลังจากที่เปิดพินัยกรรมในวันนั้น ซิงเหยียนเธอไม่ค่อยได้เจอกับ ตงหยางสักเท่าไหร่นัก อย่างที่รู้กันว่าเขากำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งของท่านประธาน เรื่องวุ่นวายภายในบริษัทก็ย่อมมีมาก เพราะเขาต้องสานต่องานทุกอย่างจากพ่อและปู่ที่เสียไป โดยมีตงฉินเป็นผู้ช่วยอีกแรง
บ้านตระกูลกู้
“ป้าไฉค่ะ คุณป้าหลี่ท่านจะให้ตั้งโต๊ะมื้อค่ำเลยไหม”
“ได้ยินว่า วันนี้คุณใหญ่คุณรองจะกลับมาทานมื้อค่ำที่บ้าน น่าจะให้ตั้งโต๊ะเลย”
“งั้น หนูช่วยป้าดีกว่าค่ะ”
“ไปนั่งเถอะ ตอนนี้เธอกำลังจะขึ้นมาเป็นคุณนายกู้เหยียน จะเข้ามาช่วยก็คงไม่เหมาะ”
“ป้าก็รู้ว่า ที่พี่หยางต้องแต่งงานกับฉันก็เพราะพินัยกรรมเท่านั้น ไม่ได้ต้องการที่จะแต่งฉันเป็นเมียออกหน้าออกตาหรอกค่ะ”
สายตาที่เศร้าสร้อยเมื่อพูดประโยคนั้นออกมา ทำเอาป้าไฉแม่บ้านวัยห้าสิบ ต้องลอบถอนหายใจ มองหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก พร้อมรอยยิ้มที่ฉีกออกเล็กน้อย
“เหยียนเหยียน ป้ารู้ดีว่าที่คุณท่านทำพินัยกรรมออกมาแบบนั้น เพราะต้องการให้เธอได้อยู่ที่นี่ แต่ที่ป้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้เธอแต่งกับคุณชายใหญ่ แทนที่จะให้แต่งกับคุณชายรอง”
ก็นั่นนะสิ เธอเองก็ไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าเธอรักคุณชายรองเหมือนพี่ชาย แต่กับคุณชายใหญ่ เธอปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้ว่าแอบชอบเขา แต่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยรักเธอ แถมยังเห็นเธอเป็นแค่เด็กรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มองว่าเธอเป็นน้องสาว เหมือนคุณชายรองสักนิด
“แต่ก็เอาเถอะคุณชายบอกว่าจะแต่งกับเธอ ก็ยังดีที่เขารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณท่าน”
เป็นป้าไฉอีกนั่นแหละที่พูดขึ้น ส่วนซิงเหยียนเธอก็เอาแต่นิ่ง ฟังที่ป้าไฉพูด พร้อมกับมือเล็กที่หยิบจับถ้วยโถโอชาลายหรู เพื่อเตรียมตั้งโต๊ะในมื้อค่ำนี้
รูปร่างสูงโปร่งสง่างามทอดกายเข้ามาในตัวคฤหาสน์หรู ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดสูทสุภาพ ใบหน้าของเขานิ่งเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเหมือนจะเหนื่อยล้าเป็นนิจ
“ตงหยาง กลับมาแล้วเหรอลูกแล้วอาฉินละไม่มาพร้อมกันเหรอ”
“ตงฉินจะตามมาทีหลังครับ”
คุณนายหลี่สวมเสื้อซีฟองประดับด้วยสร้อยมุกทรงยาว กางผ้าสีขาวเนื้อนิ่ม ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางยี่ห้อดี ปากของเธอแดงฉานไม่ตกสี ทรงผมเหมือนจะตีฟูเปิดใบหน้าจนเด่นชัด ทว่า แววตา ดันดูเคลือบแฝงความโหดเหี้ยมอยู่
หลี่น่าพร้อมลูกชายคนโตเดินเข้ามาในห้องอาหารสุดหรูที่ประดับโคมไฟคริสตัลห้อยระย้าอย่างสวยงาม วินาทีนั้น ซิงเหยียนก็เดินถืออุปกรณ์เข้ามาวางที่โต๊ะพอดี
เหลือบสายตาเย็นชามองผ่านมารดาตัวเองไปที่หญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้าสะสวยจิ้มลิ้มงุดหน้าจัดโต๊ะอาหารเหมือนสิ่งที่ตนเคยทำทุกครั้ง
“เดี๋ยว!!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวโพล่งชัด จนซิงเหยียนเธอชะงัก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้ามาสบตาคู่นั้นของตงหยาง
“พี่หยางมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พินัยกรรมบอกไว้บ้านนี้เธอเป็นเจ้าของไม่ใช่หรือไง คุณปู่อุตส่าห์ยกให้เธอแล้ว ทำไมยังทำตัวเป็นเด็กรับใช้อยู่อีก หรือว่า สถานะใหม่ที่ได้มาจะไม่เหมาะเท่ากับอาชีพเดิม!!”
ประโยคของชายหนุ่มไม่ได้สร้างความยินดีให้เธอแม้แต่น้อย ซิงเหยียนเธอพอเข้าใจได้ว่า สิ่งที่ตงหยางพูดเขาแค่ประชดเธอเท่านั้น
“ฉันเคยทำแบบไหนก็ยังทำเหมือนเดิม ก็แค่นั้น”
ใบหน้าของเขาไร้การแสดงออกใดๆ มีเพียงแววตาที่ฉายชัดถึงสิ่งที่ไม่พอใจตรงหน้าเท่านั้น หลังจากที่บทสนทนาเงียบไปสักพัก เสียงของตงฉินก็โพล่งมาจากนอกห้อง
“หิวมากเลยมีอะไรกินหรือเปล่า”
เมื่อเดินเข้ามาถึงในห้องอาหาร ก็เห็นแม่บ้านเริ่มทยอยกันขึ้นมาเสิร์ฟตั้งโต๊ะ สายตาของเขาก็มองไปที่หญิงสาวที่ตัวเล็กกว่า
“พี่สะใภ้ มานั่งสิครับไปยืนทำไมกัน”
“ตงฉิน ปากแกไม่อยู่เป็นสุขจริงๆ”
คนที่ไม่พอใจในประโยชน์คำชวนของลูกชายน่าจะเป็นคุณนายหลี่ เธอตวัดสายตาร้ายกาจไปทางซิงเหยียน เมื่อเห็นว่าคนทั้งโต๊ะให้ความสนใจ ซิงเหยียนเธอเลยรีบตัดบท
“พี่ฉิน พี่เคยเรียกแบบไหนก็เรียกแบบนั้นเถอะค่ะ”
“เรียกได้เหรอ พี่ใหญ่ ไม่ว่าใช่ไหม”
คราวนี้ ตงหยางต่างหากละ ที่มองมาทางน้องชาย สายตาที่หันควบกลับมานั้น ไม่ได้แฝงไมตรีสักนิด แต่ใช่ว่าตงฉินจะกลัวที่ไหนเขาเป็นคนที่ดื้อรั้นอยู่แล้ว
“เหยียนเหยียน เธอเป็นเจ้าของบ้าน เป็นว่าที่พี่สะใภ้ฉัน จะไปนั่งทานในครัวเหมือนเมื่อก่อนใช้ได้ที่ไหน ขืนคนอื่นรู้ว่า บ้านนี้แต่งลูกสะใภ้เหมือนแต่งทาส อับอายเขาตายเลย มานั่งข้างฉันก็ได้ ใช่ไหมพี่ใหญ่?”
คำพูดคล้ายจะประชด แถมยังหันมามองหน้าพี่ชายด้วยความทะเล้น รอยยิ้มของตงฉินทำเอามารดาไม่พอใจนัก ทว่า
“ตามใจนาย!”
“นั้นไงละ มาๆ นั่งตรงนี้เลย แม้คุณปู่จะไม่อยู่เธอก็เป็นครอบครัวเราเหมือนเดิม”
ขาทั้งสองข้างค่อยๆ ย่างกายเข้ามาที่โต๊ะอาหารราคาแพง สายตาเธอก็แอบชำเลืองมองคนนั้นที คนนี้ที เมื่อมาถึงก็เลื่อยเก้าอี้เบาๆ แล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ ตงฉิน ส่วนตงหยางเขานั่งหัวโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย
พรึ่บ!!
“อาฟางจัดอาหารขึ้นไปที่ห้องฉัน นั่งตรงนี้กินไม่ลง”
คุณนายหลี่รีบสั่งสาวใช้ในบ้าน ให้นำอาหารขึ้นไปให้ทานบนห้อง เพราะเธอไม่ชอบที่จะให้ซิงเหยียนมานั่งร่วมโต๊ะ สิ่งที่คิดในหัวมาโดยตลอดคือ เด็กคนนี้ต่ำต้อย เป็นแค่เด็กข้างถนน ที่ยอมให้ลูกชายแต่งงานก็เพราะสมบัติทั้งนั้น
.