บทที่ 2
เสียงนักดนตรีประกาศขึ้นว่าจะหยุดพักการเล่นลงชั่วครู่ ดังนั้นคู่เต้นรำทุกคู่จึงเดินออกจากฟลอร์ ฟอเรสท์พาอีริก้ากลับไปนั่งที่โต๊ะ แขนยังโอบรอบเอวเธอไว้เพื่อสำแดงความเป็นเจ้าของ เพียงแต่ปล่อยลงเมื่อถึงเก้าอี้ที่นั่ง แต่กระนั้นก็ยังลากเก้าอี้เข้ามาชิดกัน
“เวลานี้ผมชักจะเริ่มเข้าใจอะไรต่อมิอะไรในตัวคุณมากขึ้นแล้วล่ะ” ฟอเรสท์พูดเบาๆ พาดแขนโอบไหล่ที่เปลือยเปล่าไว้ “แต่กลับพบว่าตัวเองมันแปลกๆ ไป”
“ตัวคุณเองน่ะหรือคะ? เช่นเรื่องอะไรบ้างล่ะ?” อีริก้าถาม เขี่ยปอยผมที่เหยียดยาวจนถึงไหล่ขึ้นเหน็บไว้ข้างหู เพื่อจะได้มองหน้าเขาให้ชัดขึ้น
“ก็เช่นว่า ... ” แววในดวงตาของเขาดื่มด่ำนัก รีรออยู่ตรงเรียวปาก “..ผมเกิดรักคุณขึ้นมาจริงๆ น่ะสิ จะ เรียกถอนคืนก็ไม่ได้ หรือจะทำใจให้เหมือนเดิมก็ไม่ได้ด้วย ผมรักคุณจริงๆ นะ”
เสียงอุทานของเธอเปี่ยมไปด้วยความปรีดาปราโมทย์ยิ่งนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา อีริก้าไม่กล้าพอที่จะคิดว่า เขาจะรักใคร่ไยดีในตัวเธอเช่นที่เธอรู้สึกต่อเขาอยู่ ดวงตาสีม่วงเข้มเป็นประกายด้วยหยาดน้ำตาที่ขึ้นมาคลอคลอง
“ฉันก็รักคุณค่ะ” อีริก้าพูดเสียงสะท้าน “ฉันไม่เคยเชื่อเลย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่า คุณจะมารักฉันได้”
“ก็เห็นจะมีผู้ชายที่มีความรักเช่นผมเท่านั้นที่ได้รับคำปฏิเสธมามากมายหลายครั้ง” เขายิ้มให้ และเป็นรอยยิ้มที่ยืนยันถึงความจริงใจในสิ่งที่พูดออกมา
เธอใคร่จะได้โอบแขนไปรัดรอบลำคอเขาไว้ให้เขาได้ประทับจุมพิตอันดื่มต่ำลง แต่ในทันใด เสียงหัวเราะจากโต๊ะข้างเคียงก็ดังขึ้น อีริก้าจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ขณะนี้เธอกับเขามิได้อยู่ในสถานที่นั้นเพียงลำพัง
“ถ้าคุณสงสัยในความรู้สึกของผม” ฟอเรสท์พูดเสียงเบา ลูบไล้ท้ายทอยของเธออยู่ “ก็ขอให้นึกดูก็แล้วกันว่าผมเองก็สงสัยในความรู้สึกของคุณมากแค่ไหน ผมน่ะคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าที่คุณไม่ยอมไว้เนื้อเชื่อใจในตัวผมก็เป็นเพราะว่า ชื่อเสียงของผมมันไม่ค่อยจะดีนัก ทำไมผมจะไม่รู้ว่า ผู้คนเขาซุบซิบนินทาผมว่ายังไง แต่บางเรื่องมันก็จริง”
“มันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรสำหรับฉันเลยค่ะว่าใครเขาจะคิดยังไงในตัวคุณ” อีริก้ายืนยัน
เธอใคร่ที่จะได้อธิบายให้เขาได้เข้าใจว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอเกิดความสนใจในตัวเขาขึ้นมานั้น ก็เนื่องจากเจตนารมณ์ที่เขาตั้งไว้ว่าจะต้องอยู่เป็นโสดตลอดไป แต่การที่จะนั่งอธิบายอยู่ มันก็เท่ากับเป็นการชักเรื่องให้เข้าตัวเพราะเขาจะต้องถามถึงเหตุผลในตัวเธอบ้าง และเธอก็ยังไม่ต้องการให้เขาหรือใครได้เข้าใจกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้
“งั้นเรามาดื่มอวยพรให้แก่กันสักหน่อยดีไหมล่ะ?” ฟอเรสท์เสนอแนะขึ้น พร้อมกับเอื้อมไปจับแก้วมาร์ตินี่ของตัวเองขณะที่อีริก้าเอื้อมไปจับแก้วของเธอ ซึ่งเป็นเพียงเหล้าเชอรี่เท่านั้น ถ้าจะเปรียบกับเหล้ารสแรงที่เขาดื่มอยู่ เขาและเธอต่างสบตากัน ส่งกระแสโต้ตอบกันอยู่ทางดวงตา ยามที่แก้วเจียระไนทั้งสองใบกระทบกันเป็นเสียงไพเราะ
“ผมคิดว่ามันมีอะไรบางอย่างอยู่ในแก้วของผมนะ” ฟอเรสท์เอ่ยขึ้นก่อน ยกแก้วขึ้นชูกับแสงไฟเหมือนจะดู ให้ชัดขึ้น หลังจากที่จิบเหล้าเข้าไปบ้างแล้ว
“นอกจากมะกอกน่ะหรือคะ?” รอยยิ้มที่ฉาบขึ้นบนใบหน้า ช่วยซ่อนเร้นแรงเต้นของหัวใจยามที่พินิจใบหน้าด้านข้างของเขาอยู่
“ดูอะไรนี่สิ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขันๆ ปนความมีชัย เมื่อใช้ปลายหอกพลาสติคที่เสียบผลมะกอกไว้เขี่ยขึ้นมา
ที่เกี่ยวอยู่ตรงปลายหอกเล็กๆ นั้นคือแหวน แสงเรืองรองจากดวงเทียนส่องกระทบกับปัญมณีที่ประดับเป็นหัวแหวนนั้นอยู่ ส่องประกายแพรวพรายโรจน์รุ่งขึ้น
“แหวนวงนี้เป็นของคุณ” ทันที่เขาพูดจบ เธอก็ตวัดสายตามองหน้าเขาอย่างงงงัน
“ไม่ค่ะ” อีริก้าส่ายศีรษะปฏิเสธทันที
เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าลินินเนื้อดีเช็ดแหวนวงนั้นจนแห้งก่อนที่จะยื่นให้เธอ
“ผมหวังว่าคุณจะยินดีรับมันไว้นะ” ฟอเรสท์เอ่ยขึ้น “ผมคิดว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝันที่ผู้หญิงคนแรกที่ผมคิดว่าจะปฏิเสธความรักของผมกลับยอมรับ เมื่อไม่มีคำปฏิเสธว่าคุณไม่รักผม ตอนนี้ผมก็จะขอแต่งงานกับคุณละ อย่าปฏิเสธเลยนะที่รัก”
ในวูบหนึ่งของอารมณ์ อีริก้าใคร่ที่จะยืนนิ้วให้เขาได้สวมแหวนวงนั้นลง แทนที่จะรับมันมากำไว้แน่นในมือเช่นนี้ เพชรน้ำงามเม็ดเดี่ยวนั้นเหมือนจะหลิ่วตาใส่เธอส่งเสียงหัวเราะเยาะ จนอีริก้ารู้สึกปวดร้าวไปทั้งศีรษะพยายามสงบระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งขึ้นไว้
“คุณไม่ชอบมันหรอกหรือ?” เสียงถามของฟอเรสท์เต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่ก็เฉียบขาดอยู่
ใบหน้าของอีริก้าซีดเผือดเมื่อหันไปมองเขา
“โอ ฟอเรสท์คะ ฉันชอบมันมากทีเดียว” เธอเบือนสายตาจากแหวนในมือขึ้นสบตาเขา แต่แล้วก็ต้องหันกลับมามองแหวนเมื่อไม่อาจตอบคำถามในสายตาของเขาได้ หยาดน้ำตาร่วงรินลงบนนวลแก้ม แต่อีริก้ารีบเช็ดมันออกเสีย “ได้โปรดเถอะค่ะ เราออกไปจากที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ?”
“ได้สิ”
อีริก้ารู้ว่าฟอเรสท์แปลความหมายในคำพูดของเธอผิดไปแล้ว เขาจะต้องคิดว่า การที่เธออยากจะออกไปเสียจากที่นี่ ก็เพื่อจะได้อยู่กันในที่ซึ่งสงบกว่า เพื่อจะได้หลั่งน้ำตาแห่งความสุขได้อย่างเต็มที่ แต่ใครเล่าที่จะรู้ว่ารสชาติของน้ำตาที่เธอหลั่งออกมานั้น มันสร้างความระทมตรมตรอมให้กับอีริก้าขนาดไหน
ด้วยท่าทางของคนที่สันทัดจัดเจนในเรื่องของลู่ทางดี ฟอเรสท์จัดแจงชำระบิลล์ หยิบผ้าคลุมไหล่ซึ่งเข้ากับชุดราตรีซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าชีฟองขึ้นมาคลุมให้ และออกไปเอารถขับมารับเธอตรงประตูทางเข้าคลับ
อีกไม่นานต่อมา เขาก็เลี้ยวรถเข้าสู่ถนน ซาน อันโตนิโออันเงียบสงบ ดับเครื่องยนต์ลง ก่อนที่จะหันมารวบร่างเธอเข้าไว้ในอ้อมแขนโดยมิได้พูดจาอะไรออกมาจนคำเดียว และเรียวปากของอีริก้าก็ตอบรับในจุมพิตนั้นอย่างเต็มใจ ขณะที่เขารั้งร่างเธอให้เข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น อาการตอบสนองอย่างมิได้ยับยั้งชั่งใจของเธอสร้างความสะท้านในอารมณ์ให้เกิดขึ้นด้วยกันทั้งสองคน และต้องตั้งสติอยู่เป็นครู่กว่าที่จะพูดอะไรออกมา
ได้ริมฝีปากของฟอเรสท์เคลียเคล้าอยู่กับเปลือกตาและนวลแก้ม
“คุณแต่งงานกับผมได้ไหม ยอดรัก?” ลมหายใจของเขาระรวยอยู่กับผิวผ่อง “หรือว่าจะต้องให้ผมอุ้มคุณหายไปในความมืดเสียก่อนคุณถึงจะยอมตกลงด้วย?”
“ฉันเองก็อยากจะแต่งงานกับคุณค่ะ” อีริก้ากระซิบตอบ แต่น้ำเสียงของเธอสั่นสะท้านอย่างประหลาด “เหนือสิ่งอื่นใด ฉันอยากให้คุณเชื่อคำพูดของฉันจริงๆ”
การจูบของเขาชะงักงันลงในทันทีด้วยคำพูดประโยคนั้นของเธอ อาการตึงเครียดที่เกิดขึ้นในท่าทีของ ฟอเรสท์ทำให้อีริก้ารู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด แหวนวงที่เขามอบให้ยังคงอยู่ในมือของเธอ ความร้อนที่กระจายออกจากมันเหมือนจะเผาไหม้กลางใจมือ
“แต่ฉันยังรับแหวนคุณไว้ไม่ได้” เธอเสริมคำพูดที่ฟอเรสท์แน่ใจว่าตัวเองจะต้องได้ยิน
“ทำไมล่ะ?” คำถามที่คาดคั้นนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่เขาผละออกจากเธอ “คุณก็รักผมไม่ใช่หรือ?”
“ฉันรักคุณมากค่ะ ยอดรัก นี่เป็นคำพูดที่ซื่อสัตย์ที่สุด ฉันรักคุณค่ะ” อีริก้าพูดราวกับให้ปฏิญาณ ลูบไล้ใบหน้าของเขาอยู่อย่างปลอบโยน “เพียงแต่ว่า ตอนนี้ฉันยังรับแหวนของคุณไม่ได้เท่านั้น”
ท่าทางของเขาเปลี่ยนเป็นหยิ่งขึ้นมาทันที
“ผมก็พอจะรู้มาบ้างหรอกว่าคุณน่ะออกจะเป็นคนหัวโบราณอยู่ แต่นึกไม่ถึงว่าคุณอยากจะให้ผมไปพูดกับพ่อของคุณก่อน”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้หมายความว่ายังงั้นเลย” อีริก้าร้องออกมาอย่างตกใจและสิ้นหวัง
“ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ฟอเรสท์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นนวดต้นคอ “ว่าแต่คุณอยากจะแต่งงานกับผมหรือเปล่าล่ะ ?
“อยากสิคะ.. โธ่.. ได้โปรดเถอะนะคะ ฟอเรสท์ถึงยังไงฉันก็รับแหวนคุณไว้ไม่ได้จริงๆ มันไม่เป็นการยุติธรรมเลย” เธอร่ำร้องขอความเข้าใจจากเขา อยากจะให้เขาได้ลูบไล้เธอด้วยความรัก ความเข้าใจเช่นในตอนแรก
“คุณหมั้นหมายกับใครอยู่ก่อนแล้วอย่างนั้นหรือ?” ความโกรธที่ไม่น่าเชื่อจุดประกายขึ้นในดวงตาของเขา
“เปล่าเลย” เธอนวดเฟ้นอยู่ตรงหว่างตา “ฉันเพียงแต่ยังไม่สามารถอธิบายให้คุณฟังได้ แล้วก็อยากจะขอร้องว่าอย่าเพิ่งถามอะไรฉันดีกว่า ฉันขอสาบานว่ามันเป็นความจริงอย่างที่สุด เมื่อฉันพูดว่าฉันรักคุณ แต่ฉันจำเป็นต้องขอเวลาอีกสักหน่อยก่อน”
เขาหันมาจ้องหน้าเธอเป็นครู่ แววในดวงตากระด้าง แต่แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้น
“หมายความว่ามันเป็นก้าวสำคัญของชีวิตอย่างนั้นใช่ไหม? ผมเองก็ใช้เวลาในการคิดเรื่องนี้มามาก เพียง แต่ไม่ได้เตือนคุณให้รู้ตัวล่วงหน้าเท่านั้น”
เวลาแห่งการตัดสินใจนั้นมิใช่ความหมายในคำพูดของอีริก้า แต่เธอก็ได้ตั้งใจแล้วว่าจะต้องใช้ช่วงเวลานั้นให้เป็นประโยชน์อย่างที่สุด เธอแบมือออกก้มลงมองแหวนวงที่เขามอบให้ แสงดาวที่สาดส่องเข้ามาในรถกระทบเหลี่ยมเพชรเม็ดใหญ่นั้นให้พราวพรายยิ่งขึ้น
“มันเป็นก้าวสำคัญจริงๆ” เธอสูดลมหายใจลึก
“มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะทำให้สำเร็จลงได้เพียงชั่วเวลาครู่เดียวเลย” รอยยิ้มฝืนๆ ปรากฏขึ้นบนเรียวปากมันเป็นรอยยิ้มแห่งความเศร้าเสียใจที่ความมืดสลัวภายในรถช่วยกำบังไว้ให้ “การที่เรารีบร้อนแต่งงาน มันมักจะสร้างความเสียใจให้เกิดขึ้นได้เสมอ ฉันไม่อยากให้เรื่องอย่างนั้นมันเกิดขึ้นกับเราค่ะ ฟอเรสท์”
“ผมก็เหมือนกัน ผมอยากจะให้คุณมั่นใจเท่าๆ กับผมเสียก่อน” เขาตอบ