บทที่ 1
ท่วงทำนองเพลงช้าๆ อ่อนหวานซาบซึ้งลอยล่องอยู่ในอากาศ เป็นบทเพลงรักอันไพเราะ ช่วยเสริมสร้างอารมณ์ให้แก่คู่เต้นรำเพียงไม่กี่คู่ที่อยู่บนฟลอร์ได้อย่างล้ำเลิศโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้แสงไฟที่พลางสลัว นั้นทำให้บรรยากาศเพิ่มความโรแมนติคขึ้นอีกมากมาย
อีริก้าถอนหายใจอย่างเป็นสุข เมื่อปลายคางของฟอเรสท์เสียดสีอยู่กับเรือนผมสีเข้มของเธอ ฝ่ามือที่โอบรัดอยู่รอบลำคอเขาโอบกระชับแน่นเข้า ขณะเดียวกันศีรษะก็แนบถูไถอยู่กับเสี้ยวหน้าด้านข้างและปลายคางของเขาด้วยกิริยาที่สำแดงออกถึงความผาสุกใจ ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มเมื่อเขาประทับริมฝีปากลงบนเรือนผม
การที่จะเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเช่นธรรมดาเท่ากับเป็นการทำลายความภิรมย์รื่นแห่งอารมณ์ในยามนี้ลง อีริก้าจึงใช้เสียงแผ่วเบาปานเสียงกระซิบแทน
“มันเป็นการโง่มากไหมคะถ้าฉันจะพูดว่าฉันอยากเต้นรำอยู่อย่างนี้ทั้งคืนเลย”
“กับผมหรือกับใครล่ะ ?” ฟอเรสท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเดียวกัน คิ้วที่เป็นสีเดียวกับสีผมคือน้ำตาลอ่อน เลิกขึ้นอย่างจะยั่วเย้า “นี่ก็นับว่าเป็นอีกข้อหนึ่งที่ฉันชอบคุณ เพราะคุณไม่เคยคิดหาผลประโยชน์จากฉันเลย” น้ำเสียงของเธอค่อนข้างสะท้านด้วยอารมณ์ อีริก้าซุกศีรษะลงแนบกับช่วงไหล่ของเขาไว้ เพราะรู้ดีว่า ดวงตาคู่สีม่วงของตัวเองได้สำแดงความรู้สึกในความคิดที่กำลังเป็นอยู่มากเกินไป
“แล้วยังมีตรงไหนที่คุณชอบผมอีก?” ริมฝีปากของเขาขยับเขยื้อนอยู่บนเรือนผมที่สลวยงามปานเส้นไหมสร้างความสะท้านใจให้บังเกิดขึ้นในตัวเธอ
“ไม่พอใจแล้วหรือคะ?” เธอย้อนถาม แต่หางเสียงออกจะระมัดระวังอยู่
“คุณก็ควรจะรู้นะ ว่าเวลานี้ผมต้องการความมั่นใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” อ้อมแขนที่โอบอยู่รอบเอวกระชับแน่นเข้า ราวกับเขาหวั่นเกรงขึ้นมาว่าเธอจะหนี้หายไปเสีย “บอกผมหน่อยสิ” แม้ว่าคำพูดนั้นจะเป็นเชิงขู่ล้อๆ แต่อีริก้าก็ยินดีที่จะปฏิบัติตาม
ความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้น คือเครื่องหมายที่บอกให้รู้ถึงความรู้สึกของตัวเองว่าเธอแคร์ต่อสัมผัสของผู้ชายคนที่มีผู้หญิงมารุมล้อมรอบข้างคนนี้มากเพียงไร
“ถ้าจะให้พูดก็เห็นจะต้องเริ่มกันตรงที่ว่า คุณไม่เคยพูดจาเสียงแข็งๆ เวลาที่มีพ่ออยู่ด้วย คุณเป็นคนอิสระแล้วก็มั่นใจในความสามารถของตัวเอง เป็นคนรูปหล่อที่ทำให้ผู้หญิงหลายๆ คนต้องใจหายเมื่อเข้าใกล้ เป็นคนที่สามารถเอาตัวรอดไม่ยอมให้ตัวเองต้องไปยืนอยู่หน้าแท่นบูชากับผู้หญิงคนไหนได้เสมอ ในขณะเดียวกันคุณก็ยังสามารถที่จะทำให้ผู้หญิงคนนั้นมีความรู้สึกด้วยว่าเขาเป็นคนเดียวในชีวิตคุณได้อีกด้วย” อีริก้าเงยหน้าขึ้นจากช่วงไหล่ที่ซบอยู่ ประสานสายตาที่กำลังมองเธออยู่อย่างอ่อนโยน และเธอก็ปิดบังแสงแห่งความรักไว้ด้วยแผงขนตางอนงาม “ผู้หญิงทุกคนน่ะพร้อมเสมอที่จะลืมคำสอนของพ่อแม่ เวลาที่เข้าใกล้คุณ”
“เห็นจะไม่ทุกคนละมั้ง” มือข้างหนึ่งเชยคางเธอขึ้นไว้ เพื่อจะได้มองใบหน้าที่ลอยอยู่ใกล้ได้เต็มตา“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือไม่ใช่คุณ นับตั้งแต่คืนแรกที่ผมชวนคุณออกเที่ยวด้วยกันผมก็เกือบจะเชื่อที่เขาพูดกันแล้วสิว่าคุณน่ะเย็นชายังกับน้ำแข็งว่ามันเป็นความจริง บอกตามตรงนะอีริก้า ในตอนที่เราเริ่มความสัมพันธ์กันใหม่ๆ น่ะคุณเป็นคนที่ท้าทายความสามารถผมอย่างที่สุดทีเดียว” รอยยิ้มปรากฏขึ้นจนเห็นไรฟัน “ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธผมได้ทุกครั้งอย่างที่คุณทำอยู่เลย”
อีริก้าต้องบังคับตัวเองไว้ให้ลมหายใจเป็นปกติ
“ก็หมายความว่าการที่คุณชวนฉันไปที่อพาร์ตเม้นท์ของคุณน่ะ ไม่ใช่แค่ไปดูภาพวาดที่คุณสะสมไว้เท่านั้นสินะ?” เธอยั่วเย้า ดวงตากลมโตฉายแสงอย่างแปลกใจ
“โดยเฉพาะอันที่อยู่ในห้องนอนผม” รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้า เมื่อเขามองเธออย่างเคร่งขรึม “มันเป็นยังไงไม่รู้ ทุกครั้งที่ผมแตะต้องเนื้อตัวคุณหรือจูบคุณ ผมมีความรู้สึกว่าคุณพยายามขืนตัวขืนใจไว้ทุกที ผมรู้หรอกว่าคุณน่ะเป็นลูกสาวคนเดียวของวานซ์ เวคฟิลด์ และมีผู้ชายมากหน้าหลายตาเคยมาชวนคุณออกเที่ยวด้วยกัน
มันไม่ใช่เหตุผลจากความสวยของคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความเป็นมหาเศรษฐีกับอิทธิพลของพ่อคุณก็มีส่วนอยู่มากด้วย แต่เมื่อมาถึงเวลานี้คุณก็คงจะรู้จักผมดีพอแล้วว่า คนอย่างผมไม่ใช่คนที่สนใจว่าพ่อของคุณจะเป็นใครเลย”
“ฉันรู้ค่ะ” ฝีเท้าที่ก้าวตามจังหวะเพลงเกือบจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ถ้าจะขยับไปตามท่วงทำนองเพลงก็เป็นไปอย่างไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น
“แต่ไอ้การที่ผมไม่สนใจว่าคุณเป็นลูกสาวใครมันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่รับรู้เอาเสียเลยว่าเขาเป็นพ่อคุณและเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหรอกนะ” ฟอเรสท์เสริม “เพราะถึงยังไงผมก็ต้องยอมรับเขาอยู่แล้ว แม้จะรู้ว่าเขาไม่ค่อยจะเห็นด้วยในตัวผมเท่าไหร่นักก็เถอะ”
“พ่อไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นด้วยที่ฉันคบคุณหรอก แต่ชื่อเสียงของคุณต่างหากที่พ่อไม่ค่อยจะชอบ” อีริก้ายักไหล่อย่างอ่อนใจ
“แล้วก็เลยคิดว่าผมจะต้องหาทางหลอกลวงคุณไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่งสินะ” เขาผงกศีรษะอย่างเข้าใจ
“พ่อไม่ใช่มนุษย์กินคนสักหน่อย” อีริก้าฝืนยิ้ม “พ่อน่ะมองเห็นฉันเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็เลยอยากจะให้คนที่ฉันคบหาเป็นเด็กๆ เหมือนกัน”
ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดเสริมว่า ถ้าวานซ์ เวคฟิลด์รู้ว่าลูกสาวของตัวเองต้องตกเป็นเครื่องมือของผู้ชายคนใดก็ตาม เขาจะต้องใช้ทั้งอิทธิพลและเงินทองที่มีอยู่ป้องกันเธอไว้ เพราะคนอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะทนอะไรได้ง่ายๆ แต่กระนั้นก็ใช่ว่าอีริก้าจะรู้สึกสบายใจนัก ตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เธอได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อ เขาเป็นคนใจแข็งไม่ยอมอ่อนน้อมให้กับใครง่ายๆ เกลียดชังความอ่อนแออย่างที่สุดหลายๆ ครั้งที่อีริก้าเคยข้องใจว่าพ่อเคยรู้สึกเศร้าโศกเสียใจกับการตายของแม่เมื่อตอนที่ให้กำเนิดเธอบ้างหรือไม่
ในวัยเด็ก อีริก้าพยายามต่อสู้เพื่อให้พ่อได้รักเธอบ้าง ดิ้นรนอยู่กับความทุกข์ที่ว่าสักวันหนึ่งพ่อซึ่งเป็นคนรูปหล่อจะต้องแต่งงานใหม่ และเธอก็จะต้องกลายเป็นคู่แข่งขันกับแม่เลี้ยงหรือกับพวกลูกๆ ใหม่ของพ่อ แม้เธอจะต้องการน้องสักเพียงไรก็ตาม แต่ในที่สุด ก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนใดก้าวเข้ามาแทนที่แม่เลย พ่อกลายเป็นคนที่แต่งกับงาน ซึ่งนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่อีริก้าไม่อาจจะแข่งขันด้วยและเอาชนะได้ แต่กระนั้นเธอก็ยังคงต่อสู้อยู่ ใช้อาวุธทุกชนิดที่จะเปิดการรณรงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักนั้น
อีริก้าต้องใช้เวลานานถึง 20 ปี กว่าที่จะได้ตระหนักว่า แท้ที่จริงพ่อนั้นรักเธอมาก แต่เป็นไปในแบบของเขาแม้ว่าจิตใจของเธอจะกล้าแข็งสักเพียงไร แต่ความเป็นผู้หญิง ก็ยังทำให้อีริก้าอ่อนแอกว่าเขาอย่างแน่นอน ดังนั้น
อีริก้าจึงพยายามซ่อนเร้นปิดบังในการกระทำทุกประการ อันจะเป็นเครื่องชี้ชัดให้พ่อเห็นว่าเธอเป็นคนอ่อนแอ และคลายความนับถือในตัวเธอลง
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณกลัวว่าพ่อจะโกรธ แล้วทำไมคุณถึงปฏิเสธผมล่ะ?” ฟอเรสท์ขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ผมก็ได้รู้แล้วว่า คุณไม่ใช่ผู้หญิงประเภทเย็นชาเลย แต่บางครั้งเวลาที่ผมกอดคุณอยู่ ผมอยากจะมั่นใจเสียด้วยซ้ำว่ามันมีความตึงเครียดแฝงอยู่ในตัวคุณ ถามจริงๆ เถอะว่าคุณไม่ต้องการผมอย่างที่ผมต้องการคุณบ้างหรอกหรือ? หรือว่าคุณไม่ไว้ใจผม?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันไม่เชื่อใจตัวเองมากกว่า” เธอรีบกล่าวแก้ มันมีความอับอายบางอย่างที่เรียกเลือดให้ขึ้นสู่ใบหน้าจนร้อนผ่าว ภาวนาอยู่ในใจ ขอให้แสงสลัวภายในคลับแห่งนี้ช่วยปกปิดมันไว้มิให้เขาได้มอง เห็น
“และคุณก็กลัวด้วยว่าตัวเองจะต้องทำอะไรลงไปอย่างวู่วามซึ่งต้องมาเสียใจในภายหลัง” ฟอเรสท์ช่วยต่อให้ รอยยิ้มอย่างอ่อนโยนฉาบอยู่บนริมฝีปาก
“ใช่ค่ะ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันกลัวอย่างที่สุด” อีริก้ายอมรับ และมันเป็นความหวาดหวั่นที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคงมากเสียด้วย
เสียงเพลงในท่วงทำนองสุดท้ายแผ่วจางลง ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเป็นครู่ ฟอเรสท์ยังคงโอบร่างเธอไว้ให้เธอได้แนบชิดอยู่กับเรือนกายของเขา ขณะเดียวกันอีริก้าก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาพอจะเดาคำพูดในประโยคสุดท้ายของเธอออกหรือเปล่า แม้ว่าเธอจะยังหวั่นเกรงในอะไรบางอย่างอยู่ แต่เมื่ออยู่ในอารมณ์นี้ก็เชื่อว่าจะไม่กลัวมันอีกต่อไปแล้ว
เวลา 2 เดือนนั้น ไม่ใช่ระยะเวลาที่นานเลยสำหรับการที่จะได้รู้จักกับผู้ชายสักคนหนึ่ง แต่อีริก้าก็ออกจะมั่นใจว่า ความรู้สึกที่เธอมีต่อฟอเรสท์มันมิใช่เพียงแค่การติดเนื้อพึงใจกันในเรื่องรูปเรือนกายตามธรรมดาและมิได้เป็นไปตามวิถีทางธรรมชาติคือความใคร่ด้วย แต่มันเป็นความรู้สึกลึกซึ่งที่เรียกกันว่าๆ “ความรัก” แม้ว่ามันจะเป็นความรักที่เปล่าประโยชน์เพียงไรก็ตาม