บทที่ 3
แม้อีริก้าจะมิได้เงยหน้าขึ้น แต่เธอก็รู้ว่าเขากำลังจูบเธออยู่ด้วยสายตา น้ำเสียงที่สงบบอกถึงความตั้งใจที่แน่วแน่นั้น แทบจะทำให้อีริก้าสวมแหวนวงนั้นลงไว้ในนิ้วนางข้างซ้ายของเธอเสียในทันที โดยไม่ไยดีกับสภาพการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ แต่เธอขืนใจตัวเองไว้ ไม่ต้องการที่จะทำอะไรอย่างรีบร้อนและไร้ความคิดลงไป และแล้วเธอก็เลื่อนฝ่ามือที่มีแหวนวางอยู่กลางเข้าไปหาเขา
“คุณช่วยเก็บแหวนวงนี้ไว้ให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?” เธอเอ่ยถาม ขณะเดียวกันก็มองเห็นอาการหักห้ามใจที่บังเกิดขึ้นกับเขา ความรู้สึกรานร้าวที่ต้องคืนแหวนกลับให้เขาค่อยคลายลง อีริก้าพยายามเลือกเฟ้นหาคำพูดที่จะปลอบใจเขาไว้ “ฉันคิดว่าอีกไม่นานหรอกค่ะที่จะต้องขอมันกลับคืน เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อนเอาไปให้ผู้หญิงคนไหนเสียก่อนล่ะ”
“ผมเผาเบอร์โทรศัพท์ไปหมดตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วเพราะฉะนั้นจะไม่มีผู้หญิงคนไหนอีก” ในแสงสลัวนั้นดวงตาของเขาเป็นประกายราวเปลวทอง ขณะที่โน้มร่างเข้ามารับแหวนไปจากเธอ
เมื่อเก็บแหวนวงนั้นกลับเข้ากระเป๋าแล้ว ฟอเรสท์ก็หันมามอง กวาดสายตาไปทั่วใบหน้ารูปไข่ ที่ล้อมกรอบวงหน้าไว้ด้วยเรือนผมสีเข้ม และมาหยุดนิ่งอยู่ตรงเรียวปากที่โค้งมนได้รูป
“อย่าให้ผมต้องรอนานนักนะ อีริก้า” มันมิใช่คำขอร้องเพราะน้ำเสียงนั้นแฝงอำนาจไว้ และมันก็มิใช่การคุกคาม ด้วยมีเสน่หาเจืออยู่ด้วย
“ไม่หรอกค่ะ” แสงดาวโลมไล้อยู่กับใบหน้าที่นวลละมุน ขณะที่เธอรอเวลาที่ฟอเรสท์จะรวบร่างคืนกลับเข้าสู่อ้อมแขนอยู่
ฝ่ามือของเขาโลมไล้ไปทั่วนวลแก้มและโอบลงตรงช่วงลำคอ
“ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนจับผมขึ้นไปแขวนอยู่บนเส้นลวดได้” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าแม้จะไม่ถึงกับกร้าว แต่ก็มิได้อ่อนโยนเช่นที่ควรเป็น “ผมไม่ชอบใจเลยจริงๆ” อีริก้าเตรียมพร้อมแล้วที่ยินยอมพร้อมใจให้เขาได้รวบร่างเข้าไปหา แต่ฟอเรสท์ก็ยั้งมือไว้เพียงแค่นั้น และในที่สุดก็ปล่อยมือออกมองเหม่อไปข้างหน้า “ผมจะขับรถพาคุณไปส่งบ้าน ตอนนี้อารมณ์มันไม่ค่อยจะดี เพราะฉะนั้นถ้าคุณตัดสินใจได้เร็วเท่าไหร่ก็จะเป็นการดีเท่านั้น”
อีริก้าไม่มีโอกาสที่จะโต้แย้งเลย เพราะฟอเรสท์ได้สตาร์ทรถและพาเคลื่อนออกจากที่นั้น ใจหนึ่งเธอก็อยากจะให้ช่วงเวลาอันรื่นรมย์นี้ได้ดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใจหนึ่งก็อยากจะให้เขากับเธอได้เด็ดขาดกันไปเพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่อาจจะหาคำตอบให้กับเขาได้ แต่ขณะนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอทำได้มีเพียงประการเดียวเท่านั้นคือเลื่อนเวลาออกไป ถ้าเธอต้องการจะแต่งงานกับเขาจริงๆ ซึ่งอีริก้าแน่ใจว่าตัวเองก็ต้องการเช่นนั้น
ยิ่งใกล้บ้านซึ่งอยู่นอกตัวเมืองเข้ามามากเพียงไรความคิดคำนึงของเธอก็ข้องอยู่กับสภาพที่ตัวเองกำลังตึงเครียดกับสิ่งที่จะต้องตัดสินใจอยู่
เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน อีริก้าจึงได้พบว่าแข้งขาของตัวเองสั่นสะท้าน และความอ่อนเปลี้ยที่เกิดขึ้นย่อมมิใช่จากจูบของฟอเรสท์อย่างแน่นอน ดวงตากลมโต กวาดมองไปทางประตูห้องทำงานที่ปิดสนิทอยู่มันเกือบจะเป็นเพียงห้องเดียวในคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้ที่พ่อของเธอใช้จากมโนจักษุ เธอมองเห็นภาพดวงตาคมปลาบแข็งกร้าวที่จะต้องเงยขึ้นมอง ถ้าเธอนำปัญหาเข้าไปให้
สิ่งที่เธอประหวั่น มิใช่ความดูหมิ่นที่จะปรากฏขึ้นในสายตาของพ่อ เพราะมันมีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่เธอเคยทำให้พ่อโกรธเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา เพียงแต่ว่ามันมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งนับเป็นครั้งสุดท้ายก็ว่าได้ที่เธอได้ทำความผิดอย่างร้ายแรงลงไป ซึ่งต่อมาในภายหลังจึงได้ตระหนักว่าตัวเองช่างทำอะไรโง่ๆ เหมือนเด็กๆ ที่ไร้ความคิด และสิ่งนี้เองที่เธอยังประหวั่นอยู่
แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นที่มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกันกับที่อีริก้าได้ล่วงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วพ่อของเธอนั้นรักเธอมากเท่าๆ กับที่เธอรักเขา ลักษณะนิสัยและอารมณ์ของเธอและพ่อก็คล้ายคลึงกันเพราะเธอเองนั้นสามารถจะกลายเป็นคนดื้อรั้น แรงกล้าด้วยทิฐิมานะได้เช่นเดียวกับเขา แถมยังโกรธง่ายอีกด้วย แต่กระนั้น วานซ์ เวคฟิลด์ ก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจว่า สิ่งที่เธอต้องการ ก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ คือความมั่นใจที่จะได้รับจากเขา
การที่เธอเติบโตเป็นผู้หญิงสาวเต็มตัว ทำให้เธอเห็นความผิดพลาดในข้อนี้ของพ่อได้อย่างชัดเจน ดังนั้นในระยะ 2 ปีหลังนี้ อีริก้าจึงเลิกที่จะขอในสิ่งที่เขาเหลือกำลังจะให้ สัมพันธภาพฉันพ่อลูกจึงขึ้นมาสิ้นสุดอยู่เพียงแค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น และเธอก็เชื่อว่า ถ้าจะเดินเข้าไปหาเขาในตอนนี้ มันก็มีแต่จะทำลายความสัมพันธ์นั้นลง
เธอได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นสะอื้นแห่งความรู้สึกสิ้นหวังไว้ ตวัดสายตามองไปทางห้องทำงานนั้นอีกครั้งก่อนที่จะรีบก้าวเดินไปทางห้องนอน เมื่อประตูไม้โอ๊คบานคู่ปิดตามหลังลง เธอก็ได้แต่ยืนพิงมันอยู่อย่างอ่อนแรงก่อนที่จะผละเดินตัดพรมเปอร์เชียนซึ่งเป็นลวดลายสลับด้วยสีฟ้าแกมทอง ตรงไปยังเตียงนอนที่แกะสลักเป็นลายงดงาม เกาะเสาไม้โอ๊คไว้แน่น ดวงตาเหม่อลอยอยู่กับผ้าคลุมเตียงสีน้ำเงินตรงหน้า
ปรารถนาแรกที่อยากจะทำคือทุ่มตัวลงบนที่นอนอยากจะร่ำไห้ออกมาด้วยความสงสารตัวเอง ที่โง่พอจะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ แต่แล้ว อีริก้าก็ตัดใจ สะบัดหน้าอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเท่ากับสูญเสียพลังแรงใจไปเปล่าๆ เงยหน้าขึ้นมองเพดานพร้อมกับสูดลมหายใจลึก เสียงหัวเราะปร่าๆ ก้องออกมาจากลำคอ มันสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง
“ฉันได้ใช้เวลาเกือบ 2 ปีซ่อนเร้นปิดบังวันนี้ไว้” เธอเยาะหยันตัวเอง “ก็ด้วยความมั่นใจไงล่ะว่า สักวันหนึ่งเรื่องจะต้องคลี่คลายลงได้ด้วยตัวมันเอง”
เธอซุกหน้าลงในฝ่ามือ ไม่ยอมร่ำไห้ออกมา พยายามตั้งสติให้มั่นไว้มองหาหนทางที่จะคลี่คลายสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ให้ดีที่สุด จะด้วยวิธีใดก็ได้ ขอแต่เพียงอย่าให้เรื่องไปถึงพ่อเท่านั้นเป็นพอ และแล้วอีริก้าก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวัง ถ้าเพียงแต่เธอจะมีใครสักคนหนึ่งที่จะพูดด้วยได้ ใครสักคนที่สนิทสนมพอและเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเธอจึงได้ตัดสินใจทำอะไรอย่างไม่ทันยั้งคิดเช่นนั้นลงไป เธอรีบปัดความคิดที่จะลองปรึกษาหารือกับฟอเรสท์ออกไปเสียจากใจ เพราะมันเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะต้องสูญเสียความรักจากเขา
อีริก้าไม่เคยมีเพื่อนสนิท และถึงจะมีก็คงไม่มีใครจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอแน่ ทันทีที่เธอโตขึ้น พ่อก็ยืนยันที่จะส่งเธอเข้าเรียนในโรงเรียนประจำ ซึ่งเชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่สามารถให้การศึกษากับลูกสาวคนเดียวได้อย่างดีที่สุด ซึ่งในตอนนั้น อีริก้ามีความคิดเห็นว่า การที่พ่อส่งตัวเธอไปอยู่เช่นนั้นก็เนื่องจากว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเธอเลย เพิ่งจะเมื่อไม่นานนี้เอง ที่เธอได้รู้การที่พ่อต้องทำเช่นนั้น ก็เพราะว่าเขาไม่รู้จะปฏิบัติต่อเด็กเล็กๆ อย่างเธอเช่นไรมากกว่า ถ้าจะพูดถึงเพื่อนอีกไม่กี่คนที่พอจะมีอยู่ ก็ห่างไกลกันเสียเหลือเกิน และยิ่งแยกกันไปกว่า 4 ปีแล้วเช่นนี้ แทบจะไม่ได้มีการติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ นอกจากส่งการ์ดอวยพรวันคริสต์มาสแก่กันมันก็ยิ่งไม่มีความหมายเอาเลย
ส่วนลอเรนซ์ ดาร์บี้ ซึ่งเป็นเลขานุการของพ่อ และแมน ไฟรเดย์เล่า จริงอยู่ที่ว่าเมื่อก่อนนี้เขาก็มีท่าทีเห็นใจเธออยู่มาก แต่อีริก้าก็รู้ว่า ถ้าเป็นเรื่องสำคัญๆ แล้วลอเรนซ์จะต้องนำไปรายงานให้ วานซ์ เวคฟิลด์ได้รับรู้ไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอต้องการจะหลีกเลี่ยงอย่างที่สุด มันมิใช่หมายความว่า ลอเรนซ์ต้องการจะหักหลังเธอ เขาเพียงแต่จะหันไปหาคนที่เขารู้ว่าจะมีทั้งอำนาจและอิทธิพลที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ถ้าจะพูดถึงในหมู่ญาติ อีริก้าก็มีทั้งป้าทั้งลุงและพวกญาติๆ ชั้นผู้น้อง ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เคยจะเข้ามาเกี่ยวข้องในปัญหาเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่แล้วในทันใด อีรีก้าก็นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาได้
“อาจูลส” เธออุทานออกมาเบาๆ “พุทโธ่เอ๊ยทำไมเราถึงโง่อย่างนี้นะ ทำไมถึงไม่เคยคิดถึงอาจูลสมาก่อนเลยเล่า?”
ที่จริง จูลส แบล๊คเวลล์มิได้เป็นญาติกับเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เนื่องจากเขาเติบโตขึ้นมาและเป็นเพื่อนสนิทของวานซ์ เวคฟิลด์ ดังนั้นเมื่ออีริก้าลืมตาขึ้นดูโลก จูลสจึงรับเป็นพ่อทูนหัวให้และให้ความสนใจสอดส่องในความเป็นอยู่ของเธอเสมอมา การแสดงออกของจูลสเป็นสิ่งที่อีริก้าไม่เคยสงสัยเลยและกลับใช้ให้เป็นประโยชน์เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากว่าอาชีพที่เขาทำอยู่เป็นอาชีพอิสระไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพ่อ ดังนั้น จูลสจึงมองเห็นพ่อเป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ วานซ์ เวคฟิลด์ผู้ทรงอิทธิพล และเขาดูจะเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าอีริก้าดิ้นรนมาตลอดเพื่อจะเอาชนะความรักของพ่อให้ได้ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนๆ เดียวที่เธอสามารถจะไว้เนื้อเชื่อใจได้ว่าจะต้องไม่เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือจูลสมีอาชีพเป็นทนายความ ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีนี้ ที่อีริก้ามีความรู้สึกว่า ความอับอายขายหน้า ความละอายใจที่แบกอยู่บนสองบ่าค่อยเบาลง อยากจะร่ำไห้ออกมาด้วยความโล่งใจเสียด้วยซ้ำ แต่เวลาที่จะร้องไห้นั้น มันจะต้องเป็นเวลาที่ความสำเร็จมาถึงเสียก่อน