บทที่ 6
หมิงซูฮวาวิ่งน้ำตาคลอเบ้าออกมาจากห้องโถงของบ้านตรงไปยังสวนหย่อมขนาดย่อมซึ่งตั้งอยู่ข้างรั้วบ้าน ซึ่งแม้ว่าตอนนี้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ก็มีโคมไฟแขวนประดับอยู่ทั่วเนื่องจากที่นี่นั้นเปรียบเสมือนหลุมหลบภัยของนางมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็กเลยก็ว่าได้
ร่างบางเดินเข้าไปนั่งที่ศาลาแปดเหลี่ยมในสวนแห่งนั้น เวลานี้ในหัวของหญิงสาวนั้นอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัวและความโกรธเต็มไปหมด ดวงตากลมโตทอดมองออกไปยังบ้านที่อยู่ข้างกันซึ่งมีเพียงกำแพงหินกั้นไม่สูงมากนัก มองออกไปแล้วก็เห็นว่าหลังคาของเรือนหลักสกุลหลิ่วนั้นอยู่ไม่ไกลนัก
“เฉิงจ้าน เจ้ายังจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้าเมื่อตอนเด็กได้หรือไม่ หึ เจ้าคงลืมข้าไปแล้วสินะ”
เสียงหวานพูดเสียงเบาถึงใครบางคนที่เปรีบเสมือนทั้งพี่ชาย เพื่อนบ้านและเพื่อนเล่นของเธอมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ซึ่งก่อนที่บ้านของเธอจะย้ายฐานการค้าไปที่ลั่วหยางทำให้ขาดการติดต่อกันไป
แต่เมื่อบ้านสกุลหมิงย้ายกลับมาที่ตงกวนก็พบว่าหลิ่วเฉิงจ้านนั้นได้กลายเป็นขุนนางและต้องไปทำงานอยู่ที่จินหลิงเสียแล้ว
“เจ้าไม่ต้องร้องนะ เฉิงจ้านคนนี้จะปกป้องหนิงหนิงเอง”
“ท่านพ่อข้าจะแต่งงานกับหนิงหนิง ข้ารักหนิงหนิงจริง ๆ นะขอรับ ข้าจะแต่งงานกับหนิงหนิงคนเดียวเท่านั้น”
ความทรงจำเมื่อครั้งเยาว์วัยย้อนเข้ามาในห้วงความคิดของหมิงซูฮวาที่บัดนี้โตขึ้นเป็นสาวสวยสะพรั่ง เลยวัยปักปิ่นมาได้ถึงสองขวบปีแล้ว ริมฝีปากบางแย้มยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของหลิ่วเฉิงจ้าน ก่อนที่ใบหน้าหวานจะหมองลงเมื่อสติกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“เจ้ามาช้าเองนะ ข้าคงไม่ได้แต่งงานกับเจ้าแล้วล่ะอย่ามาว่าข้าผิดสัญญาละกัน”
เมื่อใจเริ่มเย็นลงร่างบางของหมิงซูฮวาก็ผุดลุกขึ้นเดินกลับเรือนของตน ระหว่างเดินกลับในหัวก็ครุ่นคิดว่าจะเอายังไงต่อไป
“อันฉี เจ้าแอบไปสืบเรื่องงานแต่งข้าที่เรือนหลักมาหน่อยสิ วันนี้พ่อบ้านถังมาส่งบัญชีให้ท่านพ่อ ข้าว่พวกเขาต้องคุยกันเรื่องของข้าบ้างล่ะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
คุณหนูรองสกุลหมิงนั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ในเรือนเล็กอย่างใช้ความคิด สายตาก็ทอดมองออกไปไกล เห็นหลังคาบ้านของหลิ่วเฉิงจ้านอยู่หลังม่านต้นหลิวลิบ ๆ
“ข้าจะทำอย่างไรดีนะ เฮ้อ”
ร่างบางที่จนใจจะคิดมาก ก็ตัดสินใจผุดลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมตัวออกไปนอกบ้านคิดไว้ว่าจะไปเดินเล่นสูดอากาศที่
สวนกลางเมืองแล้วก็นึกอยากไปหาข่าวการค้าในตลาดเสียหน่อย