บทที่ 2
เสียงทุ้มที่ปากคอสั่นกระซิบบอกคนในอ้อมกอด ดวงตาแดงก่ำเพราะความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มือก็กระชับร่างนั้นไว้
ในอกแน่น
“ทะ ท่านพี่ ขะ ข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ หะ หากชาติหน้ามีจริง ขอให้ท่านรักแต่ข้าผู้เดียวได้หรือไม่เจ้าคะ อึก”
ริมฝีปากไร้สีเลือดพยายามเปล่งเสียงออกมากับเจ้าของอ้อมกอดแกร่งที่ตั้งแต่แต่งงานมาเธอพึ่งจะได้อยู่ในอ้อมกอดของชายที่นางรักสุดหัวใจคราวนี้เป็นหนแรกเลยก็ว่าได้ หลังพูดเสร็จก็กระอักลิ่มเลือดออกมาจำนวนหนึ่ง
“ได้สิ ชาติหน้าฉันใดข้าจะรักแต่เจ้า รักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าขอโทษนะเยว่ซูเจิน ข้าขอโทษ ข้าขอโทษจริง ๆ ”
เจ้าของร่างบอบบางที่ตอนนี้เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายยิ้มจางออกมาในอ้อมกอดของแม่ทัพโจวชายผู้เป็นที่รัก ก่อนจะสิ้นใจลงไปที่ตรงนั้น
ทิ้งให้เจ้าของอ้อมกอดได้แต่กอดร่างบางไว้แนบอกนิ่งอยู่อย่างนั้น แม้ภายนอกเขาจะไม่ร้องไห้คร่ำครวญออกมา แต่หากมองเข้าไปที่ดวงตาของแม่ทัพผู้แสนเย็นชาแล้วนั้นก็จะเห็นว่ามันเต็มไปด้วยความเสียใจ
“นี่เจ้าร้องไห้หรืออันฉี”
หมิงซูฮวา คุณหนูรองสกุลหมิง เอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่คนสนิทซึ่งตอนนี้นั่งนัยน์ตาแดงก่ำอยู่ข้างกายนาง วันนี้เธอได้ข่าวว่านักเล่าเรื่องไป๋อันจากเมืองไคเฟิงจะมาเล่าเรื่องที่โรงน้ำชาเฟิ่งถังจึงได้พาอีกฝ่ายมากับตัวเองด้วย
“ก็ข้าสงสารอนุเยว่กับแม่ทัพโจวนี่เจ้าคะ ฮึก”
เด็กสาวพูดออกมาเคล้าเสียงสะอื้นพลางเช็ดน้ำตาไปด้วยอย่างขำ ๆ คุณหนูหมิงยิ้มขำที่เห็นดังนั้น ก่อนจะรีบชวน
อีกฝ่ายกลับบ้านเมื่อสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
“ก็น่าสงสารอยู่หรอกต่างฝ่ายต่างรักแต่ไม่พูดคุยกันให้เข้าใจ แถมยังมีกฎเกณฑ์มากมายนั่นอีก แต่อันฉีถ้าตอนนี้เรา
ไม่รีบกลับบ้านกันล่ะก็คนที่น่าสงสารน่าจะเป็นพวกเรามากกว่านะ ไปกันเถอะ”
“ตอนนี้แม่ทัพโจวจะได้ใช้หนี้รักของอนุเยว่หรือยังนะ”
หมิงซูฮวารำพึงรำพันขึ้นมาขณะที่นั่งอยู่บนรถม้าระหว่างทางกลับจวนสกุลหมิง
มือบางเอื้อมไปเปิดม่านรถม้าสีอ่อนก่อนที่ดวงตากลมโตหวานซึ้งจะเงยขึ้นมองไปยังพระจันทร์ที่ดวงกลมโตราวกับเหตุการณ์ในเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่องไม่มีผิด
“ถ้าข้าเป็นอนุเยว่ที่กลับชาติมาเกิดก็คงจะดี มีแม่ทัพโจวมาใช้หนี้รัก เป็นทาสรักของข้า คิก”
เจ้าของเสียงหวานพูดอย่างขำขันกับพระจันทร์ตรงหน้า ก่อนจะผลุบร่างเข้าไปในรถม้า ชั่วขณะที่เธอปิดม่านนั้นจึงไม่ทันได้เห็นว่าพระจันทร์ดวงใหญ่เปล่งประกายสะท้อนแสงราวกับว่าจะตอบรับคำพูดของนาง