5.อารามร้าง (ต่อ)
ในยามนั้น จวี้ชิงหรานนึกย้อนถึงบางสิ่ง ใช่... นับแต่นางได้มีโอกาสย้อนกลับมาในเส้นทางเดิมของตนอีกครั้ง โดยอยู่ในร่างเด็กหญิงวัย 6 ขวบ เป็นชีวิตที่สองที่ฟ้าประทานให้
และนางย่อมเป็นได้ทุกอย่าง และสิ่งที่อยากเป็นมากที่สุดคือ มารดาของเด็กน้อย ซึ่งนางจะมอบชีวิตให้เขาได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก มิใช่เหมือนในชาติก่อนที่นางเลือกให้ตนมีชีวิตรอด แล้วพรากลมหายใจของเขาไป หากสุดท้ายชีวิตที่เหลือ ต้องตกอยู่ในความโศกเศร้า ก่อนต้องสิ้นลมหายใจไป ด้วยความโง่เขลา และอ่อนแอ ซึ่งแม้แต่ป้ายวิญญาณในหอบรรพชนก็ไม่ได้สลักชื่อของจวี้ชิงหราน
ยามนี้ จวี้ชิงหรานอยู่ในร่างตนเอง ที่มี่ชื่อแซ่เดียวกันในช่วงอายุ 6 ขวบ อันเป็นอดีตชาติของเธอ หญิงสาวผู้มาจากโลกในปีค.ศ. 20xx มีเรื่องจำเป็นต้องแก้ไข โดยที่มันจะเกี่ยวพันไปถึงอนาคต!
ก่อนการย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ เธอกับสามีชาวไทย เดินทางไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะอยากได้ลูกไว้สืบเชื้อสาย เนื่องจากแต่งงานกันมาเกือบสิบปี พร้อมใช้วิธีทางการแพทย์เข้าช่วย หากวี่แววจะตั้งครรภ์ยังไม่มีให้เห็นสักที อีกทั้งเธอกับสามีต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ มากกว่าเพิ่งวิทยาศาสตร์ หรือให้ผู้อื่นอุ้มบุญให้ การมีลูกยากกลายเป็นปมเล็ก ๆ ในใจ กระทั่งได้เสี่ยงเซี่ยมซี่ทั้งของเธอกับสามี ซึ่งมีความหมายคล้ายกัน คือต้องแก้ที่ตัวของจวี้ชิงหราน เมื่อเดินออกมาด้านนอกศาลเจ้า เธอได้พบหมอดูตาบอด ฝ่ายนั้นร้องทักเรียกเธอ
“แม่หนู แก้ไขเรื่องในชาติภพสำเร็จเมื่อไหร่ ลูกชายจะมาเกิด เขารักหนูมาก รอมาหลายภพหลายชาติ เพียงแต่ยามนี้มีกรรมซึ่งยังไม่ได้รับการชำระ”
จวี้ชิงหรานประหลาดใจที่ถูกทักเช่นนั้น ทว่าพอจะถามหมอดูตาบอด ก็เป็นช่วงที่มือถือจากทางบ้าน โทร.เข้ามา เป็นเหตุใดต้องเดินทางกลับบ้านด่วน กระทั่งเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เธอก็เริ่มฝันแปลกประหลาดว่าตนอยู่ในวัยเด็กหญิง แทนที่จะเป็นในยุคปัจจุบัน หากกับเป็นจวี้ชิงหรานอีกคนซึ่งช่วงเวลาห่างกันนับพันปี
จากความฝันซ้ำๆ ในเรื่องเดิม กลับกลายเป็นว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้ไขเรื่องที่เคยทำผิดพลาด...
กลับคืนโลกคู่ขนาน
“พี่เปียว เชื่อน้องนะ ยังไงน้องต้อง รักษาพี่หายแน่นอน”
เหลียงเปียวไม่อยากขัดใจจวี้ชิงหราน อีกอย่างเขาเพลียเหลือเกิน เมื่อได้ดื่มน้ำแล้ว ก็อยากหลับตาพักสักหน่อย
“เสี่ยวหรานอย่าไปไหนนะ ข้างนอกมีอันตราย”
จวี้ชิงหรานแม้ยังเด็ก แต่จิตใจ ความคิดของนางนั้นเติบโตในวัยผู้ใหญ่ และอีกทั้งยังล่วงรู้ว่า ในภายภาคหน้าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง แต่เรื่องปลีกย่อยในอดีตชาติ คงต้องให้มันเรียงร้อยกันไปทีละนิด โดยที่นางจะไม่แตะต้อง มิเช่นนั้นสิ่งสำคัญที่นางต้องแก้ปมอันใหญ่ของชีวิต ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสย้อนเวลามาครั้งนี้คงไร้ประโยชน์
“วางใจได้ น้องไม่ไปไหน”
เด็กหญิงบอก จากนั้นก็ใช้กระบอกไม้ไผ่เพื่อต้มน้ำ แม่นางน้อยตั้งใจจะเตรียมไว้ป้อนเหลียงเปียวยามที่เขาขอดื่ม
ส่วนลูกอมที่ทำจากผลไม้ รวมถึงขนมข้าวเหนียวนึ่งที่จูอี้เหลียนมอบให้ แม่นางน้อยก็ค่อยๆ กินทีละคำ นอกจากนั้นจวี้ชิงหรานยังเด็ดดอกไม้สีเหลือง สีแดงมาตำๆ เพื่อเอาน้ำของมันด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ใช่การเล่นสนุก หากมันคือแผนการเล็กๆ ที่จะกระทำไว้เพื่อตบตาผู้อื่น
ดึกสงัดแล้ว จวี้ชิงหรานยังนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างเหลียงเปียว ในหัวคิดหลายสิ่งอย่าง และแม้ตอนนี้นางก็สลัดภาพท่านย่าออกจากหัวไม่ได้ แม้รู้ว่าอย่างไรเสียตนก็เป็นเพียงเด็กเล็ก จึงไร้เรี่ยวแรงหรือความสามารถรับมือทหารรับจ้างแคว้นเสอ อันที่จริงนางอยากร้องไห้ อยากแสดงความอ่อนแอ ทว่าด้วยมีดวงจิตเป็นของผู้ใหญ่ย่อมตระหนักได้ว่า หากทำตนเป็นภาระแก่เหลียงเปียวย่อมไม่เป็นการดี
“หลานอกตัญญูต่อท่านย่า... ศพก็ไม่ได้ฝังให้ แต่หลานสัญญาจะทำบุญให้ท่าน และทำป้ายวิญญาณของท่านย่าเก็บไว้กับตน”
แม่นางน้อยว่าแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากเหลียงเปียว และรับรู้ได้ว่าตัวเขาร้อน หากไร้เหงื่อ ไข้คงกำเริบ เขาจะมีอาการเช่นนี้อย่างน้อยสองถึงสามวัน จนกว่าจะมีเหงื่อและขับพิษไข้ออกมา
“พี่เปียว อดทนอีกสักหน่อย ขอให้ผ่านคืนนี้ไปได้ น้องเชื่อว่าเราจะต้องได้เข้าเมืองเจี้ยน”
เด็กหญิงบอกอีกฝ่าย ทั้งที่เหลียงเปียวนั้นอยู่ในอาการของคนกำลังเพ้อเพราะพิษไข้ ด้วยเขาร้องหามารดาที่จากไป รวมถึงบิดาที่ถูกเกณฑ์เข้าไปอยู่ในกองทัพสกุลอู๋