4.อารามร้าง
ในคืนนั้นก่อนจูอี้เหลียนจะเดินทางเข้าเมือง เถ้าแก่เนี้ยจู ที่ยังสาวและสวยยังได้มอบเสื้อผ้าและน้ำดื่ม รวมถึงฝากของกินมาให้เด็กทั้งสองอีกเล็กน้อย ทั้งถามว่าอยากฝากจดหมายถึงใครในเมืองเจี้ยนหรือไม่ เหลียงเปียวพยายามไตร่ตรองอยู่นาน แม้เห็นว่าจูอี้เหลียนเป็นคนที่ไว้ใจได้ กระนั้น เขาก็ไม่ควรประมาท ทั้งที่เขาชอบจูอี้เหลียนมิน้อย หากสิ่งที่บิดาบอกอยู่เสมอคือ คนหน้าซื่อใจคด มักคิดร้ายต่อผู้อื่นอย่างแนบเนียน
“ข้อฝากความถึงท่านป้า บอกว่าหลานรัก รออยู่ที่เดิม”
เหลียงเปียวบอกชื่อแซ่ และที่อยู่เฮ่อคัง ผู้เป็นป้าแท้ๆ พร้อมข้อความสั้นๆ เพียงเท่านั้น
“พวกเจ้าช่างเป็นเด็กกล้าหาญ อย่างไรจงรักษาตัวให้ดี ยิ่งฟ้ามืดยิ่งน่ากลัว ไม่ใช่มีแต่พวกนายหน้าค้าทาส หากยังเป็นพรรคมาร ที่ต้องการจับเด็กๆ ไปฝึกเป็นกองกำลังลับ”
ได้ยินอย่างนั้น จวี้ชิงหรานพลันตัวแข็งทื่อ เรื่องนี้ชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อ
“ข้าย่อมปกป้องน้องสาวได้”
จูอี้เหลียนยิ้มให้เหลียงเปียว
“เจ้าเป็นเด็กดี หากอยากทำงาน อย่าลืมไปหาข้าที่ร้าน รับรองว่า จ่ายค่าแรงอย่างไม่เอาเปรียบผู้ใด”
จากนั้นจูอี้เหลียนก็จากไปพร้อมคณะของนาง ฝ่ายจวี้ชิงหราน ยืนโบกไม้ โบกมือส่งอีกฝ่ายจนพ้นสายตา
ซึ่งเด็กทั้งสองไม่ได้นอนบริเวณหน้าประตูเมือง เพราะเมื่อฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศบริเวณดังกล่าว น่ากลัวจับใจ
“ไปที่อารามร้างดีกว่า อย่างน้อยคงมีห้องต่างๆ และที่ซ่อนตัวได้ ที่นี่โล่งเกินไป พี่กลัวคนร้าย กับพวกสัตว์ป่า” เหลียงเปียวเสนอ
“แล้วที่นั่น จะมีขอทาน หรือคนพเนจรน่ากลัวไหม” คำถามของจวี้ชิงหราน ทำให้เหลียงเปียวทำหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบเด็กหญิง
“พี่จะเข้าไปดูก่อน หากมีผู้อื่น เราก็ไปหาที่เงียบๆ พัก ไว้รุ่งสางค่อยมารอท่านป้าที่หน้าประตูเมืองเช่นเดิม”
“ดีๆ และป้ายที่เราเขียนชื่อทิ้งไว้ หน้าประตูเมือง ท่านป้าคงเห็น”
ด้วยความฉลาดของจวี้ชิงหราน นางขอกระดาษ หมึก แล้วก็พู่กันจากจูอี้เหลียน จากนั้นจึงเขียนชื่อตนและเหลียงเปียวไว้ แจ้งว่ารอพบญาติ พร้อมนัดเวลาเอาไว้ว่าเป็นช่วงเวลาใดบ้าง แล้วนำไปติดไว้ที่ป้ายหน้าประตูเมือง ทั้งยังฝากเจ้าหน้าที่ของทางการผู้หนึ่งไว้ด้วย หากมีคนถามหาเด็กน้อยสองคนให้บอกว่า พวกเขาจะมาตามเวลาที่แจ้งไว้ในกระดาษ
เจ้าหน้าที่เห็นเด็กเล็ก ก็กลัวจะไม่ปลอดภัย จึงอาสาหาที่พักใกล้ๆ ให้ ทว่าเป็นเหลียงเปียว ซึ่งไม่อยากไว้ใจผู้อื่นมากเกินไป เขาจึงขอฝากแค่ข้อความเอาไว้
“พี่เปียว หิวอีกหรือไม่ เรายังมีลูกอมเปรี้ยวหวานอีกหลายเม็ดเลย กินแล้วอร่อย และหลับปุ๋ยแน่นอน”
เสียงเล็กๆ ของจวี้ชิงหรานทำให้เหลียงเปียวไม่เหงา หรือกังวลใจถึงบิดาจนมากเกินไป และเขาดีใจอยู่สักหน่อย ที่จวี้ชิงหรานไม่ได้ถามถึงย่าของนางในตอนนี้ คงเป็นเพราะเขาย้ำเตือนหลายหนว่า อีกฝ่ายจะตามมาสมทบแน่นอน ทั้งที่ความจริงคือ ย่าของจวี้ชิงหรานได้จากโลกนี้ไปแล้ว และอนิจจา แม้แต่ศพก็ไม่ได้ฝัง
กระทั่งเหลียงเปียวเข้าไปสำรวจอารามเก่าแห่งนั้น เขาพบว่าส่วนที่อยู่ด้านปีกตะวันออก ไม่มีใครอาศัย ทั้งยังสงบเงียบ และมีที่ให้นอนอย่างปลอดภัย
“เราจะพักที่นี่กัน แต่ต้องไม่ทำเสียงดังรู้ไหม” เหลียงเปียวบอก
จวี้ชิงหรานตื่นเต้น และช่วยเหลียงเปียวก่อไฟ เพื่อช่วยไล่แมลง พร้อมให้ความอบอุ่น กระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงปลายยามซวี (19.00-20.59น.) เรื่องที่ชวนให้เด็กหญิงต้องกลัวก็เกิดขึ้น
เหลียงเปียวตัวร้อนจี๋ และครางเสียงต่ำๆ อาการเขาไม่สู้ดี
“พี่เปียว กินยาอีกดีหรือไม่ ยาของเถาแก่เนี้ยจูไง”
เหลียงเปียวส่ายหน้า ดวงตาเขาหรี่ปรือ ก่อนบอกว่า
“ไม่มีสิ่งใด อย่าห่วงพี่ ก็แค่หนาว... นอนสักพักคงหาย ขะ ขอน้ำได้หรือไม่” เขาบอกและยามนั้น จวี้ชิงหรานสังเกตเห็นว่าดวงตาอีกฝ่ายแดงยิ่งกว่าเดิม ทั้งริมฝีปากซีดทั้งแห้งเป็นขุย ตามลำคอมีเม็ดตุมแดงๆ ผุดขึ้น
“พี่เปียว ได้รับพิษอันใดหรือไม่” เด็กหญิงสังหรณ์ใจในแง่ร้าย พร้อมคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนหน้า เป็นตอนนั้นที่แม่นางน้อย ยกมือปิดปากตนเอง พอดึงสติของตนกลับคืนได้ก็เอ่ยว่า
“ทำไม ไม่บอกข้าว่าพี่ถูกหมาป่ากัด!”
เหลียงเปียวไม่ได้คิดปกปิดเด็กหญิง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงก่อนที่พวกสกุลอู๋จะโผล่มาช่วย และหมาป่าตัวหนึ่งกัดเข้าที่ขาด้านหลังเขา รอยเขี้ยวไม่ได้ฝังลึก และเขาคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดร้ายแรง จึงทำการล้างด้วยน้ำแล้วใส่ยาสมานแผลที่บิดาเคยให้ไว้ ทว่าเป็นยามนี้ที่จู่ๆ เขากลับจับไข้ หนาวสั่น ทั้งยังมีตุ่มขึ้น
“น้องต้องช่วยพี่เปียวให้ได้!”
“เด็กน้อย นอกจากเป็นนักแสดงปาหี่แล้ว เจ้ายังจะเป็นหมอตำแยอีกหรือ”