3.ประตูเมืองเจี้ยน (ต่อ)
จวี้ชิงหรานมองหมั่นโถวสีขาวแป้งหนานุ่ม พร้อมกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก เหลียงเปียวสงสารเด็กหญิงจับใจ แต่เขาปฏิเสธนางด้วยเสียงดังอยู่สักหน่อยว่า
“กินไม่ได้ พวกนั้นคือนายหน้าค้าทาส มันอาจวางยาพวกเรารู้ไหม”
จวี้ชิงหรานทำตาโต ก่อนนิ่งไปสักพัก ทว่าท้องนางร้องหิว ผ่านมาหลายชั่วยามก็ได้แต่กินน้ำที่ลำธารจนท้องอืด เมื่อใช้ความคิดในหัวย้อนไปมา จึงเอ่ยต่อว่า
“งั้นเอาหมั่นโถวมาให้น้อง”
“เอ พี่บอกว่ากินไม่ได้ไง เสี่ยวหราน และเดี๋ยวพี่จะไปหาปลา แล้วก็ลองขุดเผือกกับมันดู”
เด็กหญิงส่ายหน้า
“พี่เปียวป่วย ลงน้ำอีกจะเป็นไข้ตัวสั่น แล้วน้องก็แบกพี่ไม่ไหว”
“แต่พี่ไม่ยอมให้เสี่ยวหรานหิว!” เหลียงเปียวบอก และเชิดหน้าขึ้น เขาสงสารทั้งตัวเอง และเด็กหญิง นอกจากนี้ห่วงบิดา ที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะถูกเกณฑ์ให้เข้าไปร่วมอยู่ในกองทัพของสกุลอู๋ ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
“ใช่เราต้องไม่หิว” จวี้ชิงหรานดูเหมือนนางมีความคิดดีๆ ในหัว พอเห็นว่าเหลียงเปียวแสดงสีหน้างงงวย นางจึงบอกเขา
“ท่านย่าเคยสอนให้แบ่งปันผู้อื่น ข้าจะเอาหมั่นโถว ไปแลกของกินพี่สาวคนนั้น” จวี้ชิงหรานบอก และชี้ไปยังรถม้าที่อยู่ห่างออกไป เมื่อมาถึงที่ประตูเมืองเจี้ยน เด็กหญิงเป็นฝ่ายโบกมือโบกไม้ให้พี่สาวคนสวย พร้อมวางแผนต่างๆ ไว้ในใจ
“จะดี หรือหากมันมียาพิษ ย่อมเท่ากับเจ้ามีโทษฆ่าผู้อื่น”
“เดี๋ยวพี่เปียวก็ได้เห็นเอง”
เอ่ยจบ จวี้ชิงหรานจึงหยิบหมั่นโถวสองใบแล้วก้าวไปหาพี่สาวที่นั่งอยู่บนขอนไม้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ซึ่งอีกฝ่ายเดินทางมารอเข้าเมืองเพื่อนำไม้หอม และธูปมงคล ผ้าแพรไหมกลับเข้าร้านของตน
จวี้ชิงหรานยิ้มตาแป๋ว มองพี่สาวคนสวย และนางยิ้มตอบกลับด้วยความเอ็นดู
“มีอะไรหรือเปล่าหนูน้อย”
“เอาหมั่นโถวมาให้เจ้าค่ะ เพียงแต่ ไม่รู้ว่ามันมีพิษไหม” คำพูดซื่อๆ ที่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ทำให้พี่สาวแปลกใจ และอมยิ้มไปด้วย
“อืม รู้ว่ามันอาจมีพิษ แล้วเหตุใด ถึงเอามาให้ข้า”
เด็กหญิงยิ้มเขินอาย แล้วชี้ไปที่ปิ่นเงินปักผมของพี่สาว นอกจากนั้น สตรีวัยกลางคนที่ติดตามนางมา ยังเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง ท่าทางมันฉลาด จวี้ชิงหรานมองปราดเดียวก็รู้ว่า สุนัขตัวดังกล่าว ถูกฝึกไว้สำหรับดมกลิ่น และตามหาสิ่งของ
“ปิ่นเงิน แล้วก็สุนัข”
เด็กหญิงพยักหน้ารับที่พี่สาวพูด
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ปิ่นเงินตรวจสอบพิษพวกสารหนูได้ หากจิ้มลงไปในหมั่นโถวแล้วมันเปลี่ยนสี ส่วนน้องหมา จมูกดี แค่ให้ดม ก็ตรวจสอบพิษอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่านั้น แต่เท่าที่ข้าคิดดู พวกนายหน้าค้าทาส คงไม่ใช้พิษหายาก หรือราคาแพสำหรับวางยาเด็กๆ อย่างพวกข้าแน่นอน”
ไม่ใช่เพียงแค่พี่สาวอึ้งจนยกมือขึ้นปิดปากตน เหลียงเปียวก็อ้าปากหวอ เขารู้จักจวี้ชิงหรานมาเกือบสองปี นับแต่นางย้ายมาที่เมืองเผิง ก่อนเกิดเหตุการณ์รุกรานของทหารรับจ้างแคว้นเสอ และนี่คงเป็นครั้งแรกที่เห็นแววความฉลาดเฉลียวของนาง และมันออกจะเรียกได้ว่า อัจฉริยะเกินวัย!
“เสี่ยวหราน เจ้าเอ่ยสิ่งใดกันเล่า”
เด็กหญิงหันมายิ้มให้เหลียงเปียว และตอบว่า “ข้าเพียงแค่หิวจนจะเป็นลม ทั้งอยากหายาแก้ไข และอาหารให้พวกเราทั้งสองคน จึงหวังว่าการแสดงปาหี่ของคนเขลาต่อหน้าพี่สาวท่านนี้ จะพอให้ข้ากับพี่เปียวมีชีวิตรอดไปอีกวัน”
เมื่อพี่สาวได้ยินอย่างนั้น นางยิ่งชื่นชมความฉลาดเฉลียวของจวี้ชิงหราน
“หมั่นโถวของเจ้าที่พวกนายหน้าค้าทาสมอบให้จงทิ้งไปเถิด และไม่ต้องตรวจสอบให้ยุ่งยาก ข้ายังพอมีอาหาร และอีกสองชั่วยามข้าคงได้เข้าเมืองเจี้ยน”
นางว่าจบก็ยื่นขนมกินเล่น ลูกอมผลไม้ และแป้งทอดโรยงาให้แก่จวี้ชิงหราน
“คนนั้น เป็นพี่ชายสินะ”
เหลียงเปียวเขินอายอยู่สักหน่อย ด้วยพี่สาวคนนี้อายุราวๆ 17-18 ปี นางนอกจากพูดจาดี ยังมีใบหน้าขาวใส ทั้งยิ้มเก่ง
“ขอรับ ข้าเป็นพี่ชายเสี่ยวหราน”
“อืม ข้ามียาลดไข้ของผู้ใหญ่ แบบลูกกลอนสีดำ มันขมอยู่สักหน่อย แต่ถ้าต้องการพวกเป็นน้ำ คงต้องไปเอาที่ร้านในเมือง และเด็กๆ ชอบเพราะผสมน้ำผึ้ง น้ำตาลแดง แล้วก็ผลอิงเถา”
เหลียงเปียวหน้าแดงกว่าเดิม และมีเหงื่อผุดเต็มสองฝ่ามือเขา ก่อนเอ่ยเสียงตะกุกตะกักว่า
“ขะ ข้าเหลียงเปียว เป็นผู้ชาย และ โตพอกินยาลูกกลอนได้ขอรับ”
พี่สาวใจดียิ้มให้เขา ก่อนหันไปหาจวี้ชิงหราน
“พวกเจ้าไม่ได้หลงทาง หรือเป็นพวกเรร่อนใช่หรือไม่”
จวี้ชิงหรานยิ้มกว้าง แล้วตอบเสียงสดใส
“มิได้ ข้ากับพี่ชาย เพียงแค่รอท่านป้ามารับเจ้าค่ะ มินานก็ได้เข้าเมืองแน่นอน”
แม้พี่สาวจะสงสัยอยู่มิน้อย ทั้งเป็นห่วง แต่นางไม่ได้ซักไซ้สิ่งใดให้เด็กๆ ต้องอึดอัดใจ
“หากพวกเจ้าขาดเหลือสิ่งใด จงมาเคาะเรียกข้าที่รถม้าได้ แต่ถ้าหากข้าเข้าเมืองไปก่อน และอยากพบกันอีก จงไปที่ถนนสายสี่ ถามหาร้านเครื่องหอมและแพรไหม”
จวี้ชิงหรานฟังพี่สาวคนสวยพูดพร้อมพยักหน้าตาม ก่อนที่นางจะเอ่ยว่า
“ข้าชื่อ ชิงหราน...” และไม่ทันที นางจะหันไปหาเหลียงเปียว อีกฝ่ายก็เอ่ยเสียงดังว่า
“ส่วนข้า คืออาเปียว ร่างกายแข็งแรง แบกหามได้ และไม่ใช่คนขี้เกียจ นอนตื่นสายหรือกินจุ”
ยามนั้นพี่สาวหัวเราะชอบใจ ส่วนหญิงวัยกลางคน และผู้ชายอีกสองคนที่ดูแลของต่างๆ ที่รถม้า และรถลากก็มองมาด้วยความชมชอบเด็กๆ ทั้งสองคน
“เสี่ยวหราน และ อาเปียว เข้าเมืองได้แล้ว อย่าลืมแวะไปหาข้า เถ้าแก่เนี้ยจู (จูอี้เหลียน) รอพบพวกเจ้าเสมอ”
จูอี้เหลียนว่า และยิ้มให้เด็กทั้งสองคน