บทที่ 5 ป้าคนสำคัญ
“คุณภาคะ คุณภา..” เสียงร้อนรนของนวลจันทร์ดังมาจากประตู
“มีอะไรเหรอป้า” ภาคีลืมตามองเพดาน เขาตื่นนานแล้ว
“คุณลิตามาค่ะ ป้าบอกให้เธอรอ เธอไม่ยอมจะเข้ามาพบคุณที่ห้องนอนให้ได้ ป้าเลยรีบมาปลุกค่ะ” นวลจันทร์ตอบเร็ว
“ขอบคุณครับป้า บอกให้เธอรอแป๊บเดียว ผมขอเข้าห้องน้ำก่อน”
เสียงตอบของภาคีแฝงไว้ด้วยความเบื่อหน่าย เขาตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเบื่ออะไรเบื่อลิตาอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้หล่อนออกจะอ่อนหวานจ๊ะจ๋ากับเขาทุกเวลาถ้าอย่างนั้นเขาเบื่อหน่ายเรื่องอะไรกันล่ะหรือเบื่อความหวานของลิตาที่มีมากเกินความจำเป็นทำให้เขาเลี่ยนแทบไม่อยากเจอหล่อนอีกแต่เขาก็เลี่ยงการพบหล่อนไม่ได้ นวลจันทร์เดินกลับมาที่โถงรับแขกอีกครั้ง หล่อนปรายหางตาไปที่หญิงสาวผู้เป็นแขกของพ่อเลี้ยงหนุ่ม
“คุณภาบอกขอเวลาเข้าห้องน้ำครู่เดียวค่ะ ให้คุณลิตารออยู่ที่นี่”
นวลจันทร์พูดตามที่นายหนุ่มสั่งมา ลิตาดูจะไม่พอใจในท่าทีของนวลจันทร์เท่าไรนัก ทำหวงเจ้านายเหมือนกับเป็นลูกของตัวเองอย่างนั้นแหละ
“ฉันเข้าไปหาเขาไม่ได้รึไง”
“คุณภาให้รออยู่ที่นี่ค่ะ ดิฉันให้คุณเข้าไปไม่ได้”
สาวใหญ่เสียงห้วน ผู้หญิงสมัยนี้จัดจ้านถึงเพียงนี้ทีเดียวหรือมีเหลือความเป็นคนหัวโบราณกันบ้างไหมนี่ นวลจันทร์ถอนใจเบาๆ
“ถ้าฉันจะเข้าไป ป้าจะห้ามได้ยังไงในเมื่อฉันเป็นแฟนคุณภา ถ้าฉันแต่งงานกับคุณภาเมื่อไหร่ฉันไม่ต้องการให้ป้าอยู่ที่นี่อีก คิดจะเกาะคุณภาไปจนตายเลยรึไงไม่ทราบ”
ลิตาเสียงแข็งอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น นวลจันทร์อึ้งไปชั่วขณะไม่คิดว่าผู้หญิงที่มีหน้าตาสะสวยแถมมีการศึกษาสูงจะมีวาจาเช่นนี้ออกมาจากปากได้
“ใครเกาะใครหรือครับ”
ก่อนที่นวลจันทร์จะทันโต้ตอบลิตาออกไปภาคีก็เดินมาเข้ามา เขาโอบเอวนวลจันทร์พาเดินไปที่ประตูไม่สนใจลิตาขณะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและก้าวเข้ามาหาเขา
“ไม่มีใครเกาะใครค่ะ ลิตากำลังรอคุณอยู่ ไปกันได้รึยังคะ”
ใบหน้าบึ้งของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที หล่อนยิ้มระรื่นเพื่อปกปิดคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้แล้วก้าวเข้ามาคล้องแขนภาคีรั้งให้ห่างนวลจันทร์และพาเดินพ้นประตูออกไป ภาคีได้ยินคำพูดของลิตาหมดทุกคำเพราะเขาเดินเข้ามาถึงระยะได้ยินเสียงแหลมของหล่อนพอดี
“ป้านวล ถ้าคุณมานัสโทรมาหาผม บอกให้โทรเข้ามือถือนะครับ”
ชายหนุ่มหยุดเท้าที่ก้าวพ้นประตูเหลียวกลับมามองนวลจันทร์พร้อมคำสั่งและรอยยิ้มอ่อนโยน
“ค่ะ..”
หญิงวัยกลางคนรับคำด้วยใบหน้าเรียบเฉย ภาคีเข้าใจดีว่าเพราะอะไรป้านวลของเขาถึงเป็นเช่นนั้น
“ป้าไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ทำอะไรโดยพละการหรอก ยังไงต้องปรึกษาป้าโดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตผม” ภาคีเอ่ยขึ้นอีกเพื่อช่วยให้แม่บ้านใหญ่สบายใจขึ้น
“คุณภาพูดอะไรคะ ป้าไม่เข้าใจ” นวลจันทร์กะพริบตากับคำพูดของนาย
“ไม่เข้าใจตอนนี้ไม่เป็นไรสักวันป้าจะเข้าใจเองแหละ ไปนะครับ”
เขาผละไปตามคำเรียกร้องของลิตา หล่อนเดินไปรอเขาอยู่ที่บันได หล่อนไม่ได้ยินคำสนทนาของภาคีกับนวลจันทร์ซึ่งนั่นเป็นเจตนาที่ภาคีต้องการ
“คุณภาคะเราจะไปทานอาหารที่ไหนกันดี ลิตาอยากทานอาหารเวียดนามค่ะ”
หล่อนขอความเห็นจากเขาแต่สุดท้ายก็บอกถึงความต้องการของตัวเอง ภาคียิ้มนิดๆ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทานอาหารเวียดนาม มีอยู่ร้านหนึ่งเขาทำอร่อย ผมเคยไปทานกับคุณมานัส”
ชายหนุ่มเลี้ยวรถไปตามเส้นทางที่ตั้งของร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก เขาหาที่จอดรถได้แล้วจึงเปิดประตูรถก้าวลงมาเดินอ้อมไปเปิดให้ลิตา หล่อนควงแขนเขาเข้าไปในร้านทำเหมือนเป็นคู่รักหวานซึ่งความจริงหล่อนคิดเพียงฝ่ายเดียว
“นั่งโต๊ะมุมโน้นดีกว่าค่ะ”
หล่อนชี้มือไปที่โต๊ะว่างมุมร้านติดกระจก เขาเดินไปตามที่หล่อนบอกเลื่อนเก้าอี้ให้หล่อนและตัวเอง
“คุณภาจะทานอะไรคะ”
“ผมสั่งเองดีกว่าครับ”
เขาหยิบเมนูขึ้นมาเปิดดูรายการอาหารเลือกที่ชอบที่สุด ลิตาสั่งของหล่อนบ้าง ระหว่างที่รออาหารอยู่ ลิตาชวนคุยไปเรื่อยๆ ภาคีพยักหน้าตามคำของหล่อน ตาก็มองผ่านผนังกระจกออกไปข้างนอก พลันสายตาคู่คมของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างหญิงสาวที่กำลังเดินออกจากออฟฟิศตรงข้ามกับร้านอาหารซึ่งเป็นบริษัทประกันภัย ใบหน้าของหล่อนไม่ยิ้มแย้มแต่ซีดเซียว แสดงว่าไม่สมหวังอะไรสักอย่าง หล่อนมากู้เงินหรือมาสมัครงานแต่ดูจากการแต่งตัวและอ้อมแขนที่หอบเอกสารก็พอเดาได้ว่าหล่อนมาสมัครงาน