คุณชายรองเสิ่นจิ้น
บทที่ 5 คุณชายรองเสิ่นจิ้น
สวี่หยางลุกขึ้นเดินเพื่อสำรวจตู้เตียงโต๊ะที่ทำด้วยไม้สนอย่างดียังมีแจกันลายเมฆมงคลสองใบและของประดับตกแต่งหรูหราหากไม่รกหูรกตาจนเกินไป
เขาคงไม่ปล่อยให้นางต้องนอนเพียงลำพังตั้งแต่ค่ำคืนแรกที่แต่งเข้ามาหรอกกระมั่ง !
เพียงชั่วอึดใจที่สวี่หยางคิดเช่นนั้น นางมองไปยังสุรามงคลที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะก่อนจะละสายตาพลางถอนหายใจเดินกลับไปที่เตียงนอน
ครั้นประตูถูกเปิดเข้ามาสวี่หยางรีบใช้มือดึงผ้าคุมหัวลงมาปิดไว้และนั่งแน่นิ่งรอสามีของตนมาเปิดหัวใจของนางเริ่มเต้นระรัว ถึงนางจะเป็นสตรีที่ดุร้ายแต่ทว่าเรื่องเช่นนี้นางเองก็ยังคงอ่อนหัดเช่นกัน
แต่ทว่านางนั่งอยู่สักครู่กลับไม่มีเสียงใดเอ่ยออกมาจากปากของเขา มีเพียงเสียงฝีเท้าที่กำลังย่างเข้ามาใกล้ ๆ ใช้ไม้ที่วางอยู่เปิดผ้าคุมออกเผยให้นางได้เห็นใบหน้าของเสิ่นเกาหลาน ดวงตาลุ่มลึกใบหน้าคมคิ้วกระบี่ท่าทางสุขุมราวกับบัณฑิต ดวงตาดำขลับเว้าลึกมีความไม่แยแสต่อโลกเจืออยู่ในนั้น แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของสวี่หยางสั่นไหว
"บุปผาในน้ำ จันทราในกระจก ช่างเป็นเช่นดั่งที่เขากล่าวเล่าลือ ข้ามาที่เรือนนี้เพราะไม่ได้ต้องการร่วมหลับนอนกับเจ้า ข้าขอเอ่ยกับเจ้าตามตรงว่าข้ามิได้ต้องการแต่งกับเจ้าแต่เพราะข้าตกปากรับคำท่านพ่อยากจะคืนคำ เช่นนั้นวันนี้ข้ากับเจ้าถือว่าเป็นสามีภรรยากันตามขนบธรรมเนียมและข้าขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้ว่าต่อให้เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ก็ไม่มีทางที่จะได้ความรักจากข้า " วาจาเอ่ยออกมาราวกับแท่งเข็มนับหมื่นนับพันทิ่มแทงในอกของสวี่หยาง ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนสี
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาเองก็คงได้ยินชื่อเสียงของนางมาไม่น้อยไม่แปลกที่เขาจะรังเกียจนาง
"ตอกตะปูลงบนแผ่นไม้ เมื่อตัดสินใจไปแล้วยากจะเปลี่ยนแปลง ข้าสวี่หยางผู้นี้มิได้ต้องการความรักจากท่านเช่นกัน เป็นการดีที่ท่านเอ่ยออกมาเช่นนี้ ข้าจะได้ไม่ต้องปกปิดตัวตนแสร้งทำเป็นคนดี แต่ข้าเป็นบุตรสาวที่มีความกตัญญูท่านพ่อสอนให้ข้าปรนนิบัติผู้เป็นสามีอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ท่านเองก็คงจะรู้ว่าหากรุ่งสางผ้าปูบนเตียงหรือแม้แต่ผ้าห่มกายยังอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลงข้าจะถูกตำหนิเอาได้ เรื่องเช่นนี้ข้าเองก็ไม่ยอมเช่นกัน " ระหว่างเอ่ยก็ตรวจดูสีหน้าอีกฝ่ายไปด้วยอย่างระมัดระวัง
"ฮึ ! ในเมื่อเจ้าเอ่ยมาเช่นนี้ข้าย่อมสนองความต้องการให้เจ้าได้ " ถ้อยคำตรงไปตรงมาเปิดเผยเรียบง่ายทำให้เขาพึงพอใจที่จะไม่ต้องแสร้งทำเป็นสามีที่ดีให้แก่นาง เขากระกดสุราหนึ่งจอกเดินตรงเข้ามาหาสวี่หยางที่เตียงก่อนจะกดกายนางลงเพื่อสนองสิ่งที่นางเอ่ยออกมาแม้ไม่ได้รักนางแต่ทว่าหากออกไปเช่นนี้เขาเองก็ถูกท่านพ่อท่านแม่ตำหนิได้เพราะทั้งสองต้องการหลานเพื่อสืบทอดสกุล
แม้ในใจของสวี่หยางจะเจ็บลึกแต่ยามนี้นางต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดนอนทอดกายให้เขาเชยชมความเจ็บปวดไม่มีแม้คำกล่าวถามที่อบอุ่น กลายเป็นความเย็นยะเยือกเข้ามาแทนที่
รุ่งสางของอีกวัน
ลมหนาวพัดผ่านร่างกายของสวี่หยางทำให้นางลืมตาขึ้นมาสายตากวาดมองทั่วห้องร่างกายปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์
ครั้นจะลุกนางกลับรู้สึกเจ็บปวดที่ตรงกลางระหว่างขาร่างกายระบมไปหมดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หน้าซีดเผือกราวเสียพลังไปโดยฉับพลัน นางเป็นฮูหยินสกุลเสิ่นเต็มตัวแต่ทว่าเมื่อมองข้างกายกลับไม่พบเสิ่นเกาหลานแล้วมีเพียงไอความอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่
มีเพียงคำพูดของเขาที่ยังวนเวียนอยู่นางจะเก็บถ้อยคำที่เขาเอ่ยไว้ให้ลึกถึงกระดูกมิใช่แต่เขาไม่รักนาง นางเองก็ใช่ว่าจะรักเขาแม้จะเสียดายใบหน้าที่งดงามนั้นแต่ทว่าตอนนี้นางคือฮูหยินของเขา ความรักกินมิได้เงินทองความมั่งคั่งต่างหากที่ทำให้นางแต่งเข้ามาที่นี่ สวี่หยางนอนต่ออีกครู่ก่อนจะพยายามลุกขึ้นอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวแต่งกายเดินออกมาด้านนอกกวาดสายตามองดูเรือนที่นางต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้
สาวใช้ในเรือนเดินใกล้เข้ามาหาสวี่หยางเกี่ยงกันที่จะเข้ามาตามนางตามคำสั่งของเสิ่นเกาหลานผู้เป็นนายให้มาตามฮูหยินไปกินอาหารเช้าที่ห้องโถง เพราะข่าวเล่าลือเรื่องนิสัยของนางไม่มีสาวใช้นางใดกล้าเข้ามาใกล้แม้แต่นางเดียว เป็นจังหวะเดียวกันที่เสิ่นจิ้นน้องชายของเสิ่นเกาหลานที่มาเยือนท่านพี่ที่เรือนเห็นสาวใช้สองนางกำลังดันกันและกันเพื่อให้ไปเรียกฮูหยิน
“เจ้าไปสิ ”
“ไม่ข้าไม่ไป เจ้านั่นแหละที่ต้องไป”
“ไม่หากจะไปเราต้องไปด้วยกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากลัวจะก้าวเท้าไม่ออกอยู่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้นพวกเจ้ากำลังเกี่ยงกันไปที่ใดหรือ?” น้ำเสียงทุ่มต่ำเอ่ยขึ้นมาด้านหลังของสาวใช้ทั้งสองราวกับเสียงสวรรค์ที่มาโปรดปราณพวกนาง
“คุณชายน้อยเสิ่นจิ้นพวกเราถูกคุณชายเสิ่นเกาหลานให้มาตามฮูหยินไปกินอาหารที่ห้องโถงเจ้าค่ะ แต่พวกข้ากลัวเจ้าค่ะได้ยินมาว่าก่อนที่ฮูหยินจะแต่งเข้ามาที่เรือนนี้มีสาวใช้ถูกนางสั่งลงโทษจนถึงแก่ความตาย ข้ากลัวว่าจะทำอันใดไม่ถูกใจและจะโดนลงโทษเอาได้”
เสิ่นจิ้นมองไปยังด้านหน้าสตรีที่งดงามเช่นนั้นจะเป็นอย่างที่สาวใช้กล่าวมาได้อย่างไร แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงฉาวโฉ่วแต่เขาไม่คิดว่านางจะโหดร้ายจนไม่มีเหตุผลอันใด
“เช่นนั้นพวกเจ้าไปที่ห้องโถงเถิดข้าจะเข้าไปเรียกพี่สะใภ้เอง ”
“เจ้าค่ะคุณชายรอง ”
เสิ่นจิ้นมีอายุน้อยกว่าเสิ่นเกาหลานเพียงสองปียามนี้เขาเองก็เติบโตพอที่จะมีครอบครัวแต่ทว่าเขายังไม่พบเจอสตรีที่ถูกตาต้องใจ จนกระทั่งยามนี้ที่เขาย่างเท้ามาใกล้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าพี่สะใภ้ของตน
“พี่สะใภ้ข้าเสิ่นจิ้นน้องชายของท่านพี่เสิ่นเกาหลานขอคารวะขอรับ”
สวี่หยางกำลังครุ่นคิดเรื่องจี๋เสียงทันทีที่ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังนางรีบหันมาหาผู้มาเยือนยามนั้นมีสายลมพัดผ่านผมยาวสยายตามกระแสลมเผยเปิดเผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมอย่างเมื่อวาน รอยยิ้มส่งผ่านม่านตาน้อมรับคารวะอย่างนอบน้อม
“ข้าสวี่หยางคารวะคุณชายรองเสิ่นจิ้นเช่นกันเจ้าค่ะ”
ราวกับถูกมนต์สะกดน้ำเสียงนุ่มลึกรูปโฉมประหนึ่งจิตรกรวาดรังสรรค์ บรรจงลากเส้นโค้งของดวงตาดุจใบหลิวดูพริ้วไหวนุ่มนวล เสิ่นจิ้นตกอยู่ในภวังค์ของความงดงามอยู่ชั่วหนึ่งก่อนจะรีบดึงสติตนเพราะผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือพี่สะใภ้ของตน
“ข้าเดินทางมาที่เรือนนี้เพราะต้องการแสดงความยินดีกับพี่เสิ่นเกาหลานและท่านพี่สะใภ้ เมื่อครู่ข้าเดินผ่านสาวใช้เห็นนางกำลังเดินมาตามพี่สะใภ้ไปที่ห้องโถง ไปพร้อมกับข้าหรือไม่ขอรับ? "
"เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ ข้าเองพึ่งเข้ามาอยู่ที่นี่แม้จะเดินไปที่ใดก็ย่อมไม่รู้ทาง เป็นธุระท่านแล้ว ”
“หาได้เป็นธุระของข้าหรอกขอรับ ข้าเดินผ่านมาพอดีมาเถิดขอรับป่านนี้ท่านพี่เสิ่นเกาหลานคงรอนาน ” เสิ่นจิ้นกล่าวผายมือให้นางเดินตามตนรีบเก็บงำประกายตาไม่ให้แสดงออกมาจนเกินไป หัวใจของเขาเต้นแรงระรัว
ห้องโถง
เสิ่นเกาหลานนั่งจ้องมองทางเข้าห้องโถงหันซ้ายหันขวาสวี่หยางยังไม่มีวี่แววจะก้าวเท้าเข้ามาจนเขาเกิดความโมโห เห็นสาวใช้ทั้งสองที่ให้ไปตามเดินกลับมาแต่ทว่าไร้วี่แววของสวี่หยางลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง
ปัง !!!
“ข้าให้เจ้าไปตามฮูหยินเหตุใดนางถึงไม่ตามมาด้วยหรือว่านางยังไม่ตื่นเช่นนั้นหรือ? ช่างเป็นสตรีที่ไม่ดีเอาเสียเลย”
“มิใช่เจ้าค่ะคุณชาย ฮูหยินตื่นแล้วตอนนี้กำลังเดินตามมาพร้อมกับคุณชายรองเจ้าค่ะ”
“เสิ่นจิ้นมาอย่างนั้นหรือ?” เสิ่นเกาหลานคิ้วขมวดเข้าหากันใบหน้างงงวยน้องชายของเขามาเยือนที่เรือนแล้วทำไมถึงได้อยู่กับสวี่หยางกันและทั้งสองไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เพียงไม่นานทั้งสองได้เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกัน
มาแล้วสินะ!
“เสิ่นจิ้นเจ้ามาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือ?” ทันทีที่เสิ่นจิ้นก้าวเท้าเข้ามาเสิ่นเกาหลานเอ่ยถามพลางมองไปด้านหลังของเสิ่นจิ้นเห็นสตรีที่เป็นฮูหยินของตนเดินมาพร้อมกับเขา
“ท่านแม่วานให้ข้านำของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ มามอบให้พี่สะใภ้ขอรับ ข้าพบพี่สะใภ้ที่ทางเดินมายังห้องโถงจึงชักชวนให้มาพร้อมกันขอรับ ”
“เจ้ามาที่นี่แต่เช้าคงยังไม่ได้กินอะไรมาสินะ มาเถิดนั่งลงกินอาหารเช้าด้วยกันก่อน นี่เจ้าไปเตรียมชามมาให้คุณชายรองเร็วเข้า”
“เจ้าค่ะ ”
เสิ่นเกาหลานสั่งสาวใช้ก่อนจะปรายสายตาไปมองสวี่หยางให้เดินมาใกล้ตน
สวี่หยางสบสายตาที่จ้องมองมาทางตนพอเข้าใจในความหมายของสายตาเดินมาใกล้เสิ่นเกาหลานนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ รอสาวใช้มาตักข้าวใส่ชามเพื่อร่วมกินอาหารเช้าด้วยกัน สถานการณ์ช่างอึดอัดสำหรับนางราวกับต้องฝืนทนเพื่อแสดงเป็นฮูหยินที่ดี
ระหว่างกินอาหารเสิ่นเกาหลานสังเกตสตรีที่อยู่ตรงหน้าและมองไปยังเสิ่นจิ้นจึงคีบเนื้อชิ้นใหญ่มอบให้นาง
“กินเพียงเท่านี้จะมีแรงได้เช่นใดกัน กินเนื้อเยอะ ๆ ”
“ไม่คิดเลยนะขอรับว่าท่านพี่จะรักพี่สะใภ้มากขนาดนี้ เช่นนี้อีกไม่นานท่านพ่อท่านแม่คงได้อุ้มหลานเป็นแน่ ”
คำพูดของเสิ่นจิ้นชวนให้สวี่หยางอึดอัดใจมากกว่าเดิมก้มหน้าต่ำลงคีบเนื้อที่เสิ่นเกาหลานเข้าปากชิ้น ๆ เล็กเคี้ยวอย่างละเอียดเพราะนางไม่อยากจะตอบคำถามนั้น
“เรื่องเช่นนั้นข้าคงบอกไม่ได้ต้องดูร่างกายของสวี่หยางด้วย จริงสิกินอาหารเสร็จแล้วข้ามีเรื่องจะหารือกับเจ้า” สวี่หยางใจล่องลอยไม่ได้ฟังคำพูดของเสิ่นเกาหลานที่พูดคุยกับเสิ่นจิ้นเวลาเพียงไม่นานแต่สำหรับนางราวกับผ่านไปหลายชั่วยามที่ต้องนั่งฝืนทนกินอาหารจนถึงเวลาแยกย้าย