ถูกปิดปาก
บทที่ 4 ถูกปิดปาก
เมื่อมาถึงเรือนบ่าวรับใช้ที่ให้ลงโทษจี๋เสียงวิ่งหน้าตั้งมาแจ้งสวี่หยางด้วยน้ำเสียงกระอึกกระอัก นางคิดว่าจี๋เสียงยอมปริปากบอกแต่ทว่าสิ่งที่นางได้ยินจากปากของบ่าวกลับทำให้นางตกใจเพียงครู่
"คุณหนูใหญ่ยามนี้จี๋เสียงสิ้นลมแล้วขอรับ"
"เกิดอันใดขึ้นข้าบอกให้เจ้าทำโทษนางมิได้ให้ฆ่านางทิ้งเสียหน่อยเช่นนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของผู้ใด" สวี่หยางแผดเสียงสูงกราดเกรี้ยวประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาดผ่านร่าง ไม่รู้แม้กระทั่งผู้ปองร้ายแถมยังต้องเสียสาวใช้อีกด้วย
"คุณหนูข้ามิได้ลงมือฆ่านางขอรับ ข้าพยายามเค้นถามนางเอาแต่บอกว่านางไม่ได้ทำ นางจงรักภักดีต่อคุณหนูมาตลอด ข้าปวดหนักออกไปเพียงครู่กลับมาเห็นนางนอนน้ำลายฟูมปากตาเหลือกขึ้นบนแล้วขอรับ"
สวี่หยางไม่อยากจะเชื่อคำพูดของบ่าวรีบวิ่งไปดูจี๋เสียงที่ลานลงโทษ ครั้นมาถึงเห็นสภาพนางนอนแน่นิ่งน้ำลายฟูมปากอย่างที่บ่าวแจ้ง
แต่ทว่าการตายของนางยิ่งทำให้สวี่หยางขับข้องใจมากกว่าเดิม การตายเช่นนี้ราวกับว่านางถูกวางยาให้นางดื่มยาพิษเพื่อปิดปาก
"เจ้าจงค้นให้ทั่วเรือนทั้งเรือนของสาวใช้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดจงค้นให้ทั่ว การตายของจี๋เสียงมิใช่การตายธรรมดานางโดนวางยาเพื่อต้องการฆ่าปิดปาก ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนอยู่เบื้องหลัง" สวี่หยางออกคำสั่งได้รวบรัดและเฉียบขาด บ่าวรับใช้จึงรีบวิ่งไปค้นตามเรือนอย่างที่นางสั่ง เจี่ยฟางที่เดินตามหลังมาเห็นภาพของจี๋เสียงนางแทบไม่มีเรี่ยวแรงใช้มือทาบอกสั่นกลัว
"พี่หยางทำไมเรื่องเช่นนี้ต้องเกิดขึ้นที่เรือนของเราด้วยเจ้าคะ ข้ากลัวกลัวเหลือเกิน" สวี่หยางจ้องมองจี๋เสียงอย่างสลดใจ ก่อนจะย่างกรายเข้ามาโอบกอดเจี่ยฟางให้นางคลายความกวาดกลัว
"เจ้าไม่ต้องกลัวนะข้าอยู่นี่แล้ว ข้าจะไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเจ้าแน่นอน นี่เจ้าพาคุณหนูเจี่ยฟางไปพักที่ห้องเร็วเข้า " สวี่หยางสั่งการสาวใช้ที่ยืนมุงดูอยู่แถวนั้นก่อนจะหันมาจัดการเรื่องที่เกิดขึ้น
ระหว่างนั้นท่านพ่อของนางได้กลับมาจากด้านนอกเห็นในเรือนต่างพากันวุ่นวายเขาจึงเดินเข้ามาหาบุตรสาวที่ยืนสั่งการอยู่
"เกิดอะไรขึ้นหรือ ? "
"เกิดเรื่องขึ้นในเรือนเจ้าค่ะ ”
สวี่หยางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านพ่อได้ฟังจนหมดทุกเรื่องเขาพยักหน้าใช้มือลูบหนวดเคราอย่างครุ่นคิดก่อนจะวางมือมาที่บ่าของสวี่หยางเบา ๆ
“เกิดเรื่องเช่นนี้เจ้าคงขวัญเสียเช่นเดียวกันสินะ แต่เจ้ายังคงแสดงความเข้มแข็งสมกับเป็นสวี่หยาง เอาล่ะเจ้าไปพักเถิดเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนข้าจะสืบหาตัวคนทำเรื่องเช่นนี้มาลงโทษเอง อีกสองวันจะถึงงานมงคลของเจ้ากับเสิ่นเกาหลานข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาคิดเรื่องนี้ให้ปวดหัว จงไปพักและอย่าลืมจดจำหน้าที่ของเจ้าที่ต้องปรนนิบัติเสิ่นเกาหลานในฐานะฮูหยินของเขาให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
แม้ว่านางยังเคลือบแคลงใจแต่นางก็ต้องทำตามผู้เป็นบิดา
สองวันผ่านไป
เช้าตรู่ของเรือนสกุลสวี่วุ่นวายพากันเดินพลุกพล่านไปมาเพื่อส่งตัวเจ้าสาวไปไปยังเรือนของสกุลเสิ่น
สวี่หยางสวมใส่ชุดสีแดงกำมะหยี่เป็นชุดงานมงคลที่ีท่านแม่ของนางเคยสวมใส่ราวกับทำมาเพื่อนาง เมื่อนางสวมใส่กลับใส่ได้เหมาะเจาะ
"พี่หยาง วันนี้ท่านงดงามยิ่งนักจู่ ๆ ข้าก็เกิดรู้สึกใจหายไม่อยากให้พี่หยางแต่งออกเรือนไปเลยเจ้าค่ะ" เจี่ยฟางเดินเข้ามาเห็นสวี่หยางที่นั่งอยู่หน้าคันฉ่องพลางถอนหายใจเดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง ตั้งแต่เล็กจนโตทั้งสองไม่เคยแยกจากกันไม่แปลกที่ีนางจะรู้สึกใจหาย
สวี่หยางจับแขนของเจี่ยฟางออกก่อนจะหันมามองหน้านางพร้อมกล่าวคำสอน
"แม้ว่าข้าจะออกเรือนไปแต่อย่างไรข้าก็ยังเป็นพี่ของเจ้า หากมีผู้ใดกล้ามารังแกเจ้ารีบไปบอกข้า ข้าจะกลับมาจัดการให้เอง เรื่องของจี๋เสียงเองยังจับตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ ต่อจากนี้เจ้าจงระมัดระวังตัวให้ดีอย่าไว้ใจผู้ใด เข้าใจที่ข้าเอ่ยมาหรือไม่" แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่มีแก่น้องสาวทำให้เจี่ยฟางซึ้งน้ำใจดวงตาเริ่มแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้
"ท่านพี่ข้าคงคิดถึงท่านมาก ๆ แน่เลยข้าจะจดจำทุกสอนของท่านพี่เอาไว้ให้ขึ้นใจ จะไม่ทำให้พี่หยางต้องมาเหนื่อยใจเจ้าค่ะ " ทั้งสองสวมกอดกันแนบแน่น
ครั้นประตูถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอกใต้เท้าสวี่เดินเข้ามาเห็นบุตรทั้งสองรักกันอย่างกลมเกรียวทำให้เขาน้ำตาซึมในอก
ฮูหยินเจ้าเห็นหรือไม่บุตรของเราทั้งสองรักใคร่ปองดองหากเจ้าเห็นภาพนี้คงมีความสุขไม่น้อย !
"อะแฮ่ม ! " ใต้เท้าสวี่กระแอมขึ้นมาหนึ่งครั้งทำให้สองคนพี่น้องละแขนออกจากกัน
สวี่หยางยืนขึ้นเดินเข้ามาใกล้บิดาก่อนจะยื่นมือให้ท่านพ่อพาตนเองเดินไปที่เกี้ยวสกุลเสิ่น
เรือนสกุลเสิ่น
ป้ายเหนือประตูสลักตัวอักษรด้วยทองคำวาววับบ่งบอกความมั่งคั่ง แต่เดิมสกุลเสิ่นเป็นพ่อค้าเดินเรือส่งของตามแคว้นต่าง ๆ ราวสี่สิบปีก่อนได้พบรักกับสตรีนางหนึ่งที่เป็นมารดาของเสิ่นเกาหลาน สกุลเสิ่นจึงตั้งหลักปักฐานในแคว้นแห่งนี้ ด้วยความที่มีความรู้การค้าขายทำให้เขาร่ำรวยมีกินมีใช้ไม่ว่าจะเป็นเหล่าใต้เท้าเสนาบดีต่างพากันมาทำการค้าขายกับเขา ทุกวันนี้แม้สกุลเสิ่นจะไม่ได้เดินเรือแต่ยังทำกิจการค้าขายโดยรับของจากคนที่รู้จักมาขายในเมืองแห่งนี้ ของหายากหรือแม้แต่ยาสมุนไพรล้วนมีในร้านของสกุลเสิ่น
ในเรือนถูกตกแต่งประดับด้วยผ้าสีแดงของมงคลมากมายถูกจัดเตรียมเพื่องานนี้อย่างยิ่งใหญ่
เมื่อขบวนเกี้ยวของสวี่หยางมาถึงได้ดำเนินพิธีอย่างไม่รีรอ
"หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับบิดามารดา สามคำนับกันและกัน " สวี่หยางทำตามคำบอกกล่าวของผู้ประกอบพิธีแม้แต่ใบหน้าของเสิ่นเกาหลานนางยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาจะขี้เหร่หรือจะมีอายุเพียงใดนางไม่เคยที่จะอยากรู้ นางเป็นสตรีที่กตัญญูท่านพ่อให้ไปทางขวานางก็ไปทางขวาจึงมิเคยมาสอดส่องดูใบหน้าผู้ที่จะมาเป็นสามีสักครา
กระทั่งพิธีได้เสร็จสิ้นสวี่หยางถูกพาตัวมาที่เรือนของตนที่ท่านเสิ่นเจียงซื่อ ท่านพ่อของเสิ่นเกาหลานมอบให้เป็นของกำนัลให้แก่ทั้งสอง
สวี่หยางนั่งคอยอยู่นานจากท้องฟ้าที่มีแสงดวงอาทิตย์ส่งแสงกลับกลายเป็นมืดสลัวนางเปิดผ้าคุมหน้ากวาดตามองไปรอบห้อง ห้องนอนอันกว้างขวางประดับประดาด้วยผ้าสีแดงมงคลรวมไปถึงโคมไฟสีแดงห้อยระย้า ตัดกับความมืดมิดของราตรีที่โรยตัวลงมานอก