8.สาร
“คารวะฟางซื่อ เป็นเพราะท่านที่ทำให้ข้ากลับมาขยับร่างกายได้อีกครั้ง” จางหย่งเอ่ย เขาพยายามชันตัวขึ้นด้วยตนเอง ทว่าก็ยังไม่อาจทำได้โดยพละการ
“พักก่อนไท่เว่ย์ ท่านยังคงต้องใช้ยาที่ข้าปรุงทิ้งไว้ให้อีกสามวันจึงจะสามารถใช้ร่างกายได้ตามปกติ และในระหว่างนั้นท่านจงเดินเปี้ยเต็ง[ ธาตุไฟ]ปราณเพื่อขับพิษให้ออกทางเหงื่อ ยาขนานนี้จึงจะชะลอได้ชะงัก จากนั้นข้าจะปรุงยาให้ท่านทุกรายสามวันจากนี้ ทว่าท่านจะต้องขับเปี้ยเต็งปราณทุกคืนเดือนดับในยามโฉ่วเพื่อขับพิษออกจากกระแสโลหิต”
“ท่านสามารถปรุงยารีดพิษได้หรือไม่ฟางซื่อ” จางหย่งเอ่ยถาม
“ข้าหวางคุนเป็นเพียงฟางซื่อหางแถว หาได้ร่ำเรียนโดยตรงไม่ เป็นแต่เพียงลักจำ จึงไม่อาจปรุงยาขนานเอกได้ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยไท่เว่ย์” ชายอาวุโสประสานมือเข้าด้วยกันครั้นก็ค้อมตัวลง
“ไม่คิดมาก ไม่คิดมากฟางซื่อ เท่านี้ท่านก็มีน้ำใจมากแล้ว”จางหย่งเอ่ย หากเขามีกำลังพอลุกขึ้นไหวเขาอาจกำลังคุกเข่าเป็นการขอบคุณต่อหน้าฟางซื่ออยู่ก็เป็นได้
“เช่นนั้นข้าขอลา”ฟางซื่อค้อมตัวลงคารวะไท่เว่ย์อีกครั้ง
“ช้าก่อนท่านฟางซื่อ”
“ไท่เว่ย์มีเรื่องอันใดที่จะถามข้าเพิ่มเติมเช่นนั้นหรือ”
“รอก่อน ข้าจะให้เสิ่นเฉิงไปส่ง ท่านจะได้ไม่ต้องเดินลัดป่า”คนเพิ่งฟื้นจากพิษค่อยชันตัวลุกขึ้นนั่งบนตั่งด้วยตนเองอย่างลำบากลำบน
“ไท่เว่ย์กรุณากับข้ามากเหลือเกิน ทว่าข้ารู้ทางเลี่ยงโจร ข้าเป็นชาวบ้านแถวนี้มากว่าครึ่งชีวิตคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ดีขอรับ” หวางคุนพูดอย่างเจียมตัว
“ฟางซื่อท่านได้โปรดอย่าปฏิเสธน้ำใจเล็กน้อยของข้า พวกโจรป่ายังเหิมเกริมทั้งจิตใจชั่วช้า คนมากไปด้วยประโยชน์อย่างท่านข้าไม่อยากให้ต้องสิ้นเพราะโจรพวกนี้”
“เป็นความกรุณาอย่างหาที่สุดไม่ได้” หวางคุนค้อมตัวรับ ก่อนที่จะชักเท้ากลับเข้ายังกระโจมเพื่อรอเสิ่นเฉิง
…
ห้าปีผันผ่าน จางหย่งยังคงใช้ยาชะลอพิษที่ฟางซื่อหวางคุนเป็นผู้ปรุง น่าแปลกที่พักหลังมาเขามักเหนื่อยอ่อนและเจ็บปวดไปทั่วร่างกายอยู่เสมอ
“หวางคุนคารวะ ไท่เว่ย์” จางหย่งมองชายอาวุโสตรงหน้าที่เปลี่ยนไปมากหลังจากเวลาห้าปีผ่านไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ข้าไม่ได้พบท่านนานเลยนะ ฟางซื่อ” จางหย่งเอ่ยทัก ก่อนที่จะถามสารทุกข์สุกดิบของผู้มีพระคุณอีกสองสามประโยค
“ข้าหวางคุนขอขอบคุณในความกรุณาของไท่เว่ย์ ท่านทำให้ชีวิตของข้าได้หลุดพ้นจากชีวิตแบบหนูสกปรก” ชายอาวุโสค้อมตัวลงคำนับ ครั้นก็เหลือบขึ้นมองใบหน้าที่ขาวซีดของชายหนุ่มตรงหน้า
“ไท่เว่ย์ สีหน้าที่ซีดเผือดดูเหมือนระบบโลหิตของท่านจะเดินผิดปกติ ส่งข้อมือของท่านมาให้ข้า” ถึงแม้หวางคุณจะไม่ใช่ฟางซื่อที่มีใบรับรองแต่เขาก็ถูกหล่อหลอมขึ้นมาในครอบครัวของฟางซื่อของตระกูลฉินก่อนที่แผ่นดินจะร้อนไปด้วยไฟสงคราม
“ฟางซื่อ ร่างกายของข้าในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ตอบสนองยาของท่านเสียแล้ว ข้าอ่อนล้าและเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับมีเข็มเป็นหมื่นเล่มทิ่มแทงไปทุกส่วนในร่างกาย” จางหย่งพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน
“ข้าหวางคุนไร้สามารถ” ชายอาวุโสทรุดเข่าลงต่อหน้าไท่เว่ย์ ด้วยตระหนักในความรู้ที่น้อยนิดของตนเอง
“ท่านลุกขึ้นเถิดฟางซื่อ ห้าปีที่ผ่านมานี้ข้ารบกวนท่านมามาก”
ในระหว่างที่หวางคุณและจางหย่งสนทนาหาทางออกให้กับการรักษา เสิ่นเฉิงก็พลุนพลันเข้ามาในจวนอย่างรีบร้อน
“ไท่เว่ย์ ข้าได้รับสารนี้ตอนที่ลาดตะเวน” เสิ่นเฉิงชูกระดาษที่พันก้านธนูเอาไว้แสดงต่อหน้าจางหย่ง
“แคว้นถงกำเริบเสิบสานนัก ถึงขนาดส่งสารถึงข้าเลยรึ!” น้ำเสียงเข้มของคนใบหน้าซีดเผือดยังคงดูทรงอำนาจ
“หาใช่สารจากแคว้นถงไม่ขอรับไท่เว่ย์”เสิ่นเฉิงสังเกตสัญลักษณ์ที่ติดอยู่ที่ก้านธนู
“จะเป็นผู้ใดที่กล้าเหยียบจมูกไท่เว่ย์” ซุ่มเสียงเย็นกล่าวพลางก็ครุ่นคิด “เรื่องที่ข้าโดนพิษในคืนนั้น ไม่ได้แพร่งพรายไปใช่หรือไม่ฟางซื่อ เสิ่นเฉิง” แววตาคมราวกับเหยี่ยวปราดมองสองคนร่วมกระโจม ด้วยเขาทั้งสองเป็นผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด
“หามิได้ขอรับ ข้าหวางคุนไม่เคยปริปากให้ผู้ใดได้ล่วงรู้” จางหย่งเพ่งมองชายอาวุโสที่ตัวสั่นเพราะความกลัวตรงหน้า เขารู้ว่าชายผู้นี้จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอนด้วยเพราะวันวันเขาก็เอาแต่เจียมตัวอยู่แต่ในบริเวณบ้าน หาได้ใช่คนช่างพูดช่างจา
“ไม่มีประโยชน์ใดที่ข้าจะทำหรอกไท่เว่ย์ ท่านก็รู้ข้าอยู่ฝั่งเดียวกับท่านเสมอ” เสิ่นเฉิงแก้ต่างให้กับตนเองบ้าง คำสารภาพของคนทั้งสองยิ่งทำให้จางหย่งครุ่นคิด
“แล้วเช่นนั้นจะเป็นผู้ใด” จางหย่งปรายตาไปอีกทางอย่างครุ่นคิด
“ไท่เว่ย์ท่านจะให้ข้าอ่านเนื้อหาในสารนี้หรือไม่” จางหย่งหันมามองเสิ่นเฉิง เขามัวแต่ระแวงจนลืมจดหมายนิรนามไปเสียสิ้น
“เปิดอ่านเลย” ซุ่มเสียงห้วนเอ่ยสั่ง เสิ่นเฉิงไม่รอช้าทำตามที่เขาสั่งในทันที
“หากเจ้าต้องการยาแก้พิษ จงเดินทางไปยังหุบเขาหมื่นลี้” เสิ่นเฉิงอ่านจบก็เพ่งมองไปยังคนตรงหน้าที่ได้ฟังความในสารแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที
“ข้าได้สารเนื้อหาแบบเดียวกันนี้หลายครา แต่ข้าไม่เคยสนใจ ท่านว่ามันจะเป็นกับดักหรือไม่เสิ่นเฉิง” เสิ่นเฉิงนิ่งเงียบไปอย่างครุ่นคิด เขาไม่กล้าที่จะให้คำตอบใด ๆ ต่อจางหย่ง เพราะถ้าเขาเอ่ยออกไปด้วยความไม่รู้อาจมีผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับไท่เว่ย์หลายส่วน
“ข้ารู้ก็แต่เพียงว่า หุบเขาหมื่นพิษ เป็นที่อยู่ของลี่อิน เขาเป็นฟางซื่อที่เก่งกาจเรื่องยาแก้พิษยิ่งจนได้ถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์” หวางคุนเอ่ยพูดในสิ่งที่เขารู้