7.ฟางซื่อ แซ่ หวาง
“มันสกปรกหน่อยนะ ข้าแก่แล้วทั้งลูกหลานตายในสงครามหมด” ชายอาวุโสพูดระหว่างที่สาละวนกับการให้ความช่วยเหลือเขา
เสิ่นเฉิงได้แต่ถอนหายใจเพราะเขาก็สูญเสียครอบครัวไปด้วยสงครามเช่นกันจึงเข้าหัวใจอกของคนเคยสูญเสียเหมือนกัน
ยังไม่ถึงสองเค่อตามที่ชายอาวุโสว่า เขาก็พบส่วนผสมของพิษในดอกธนู “เอาล่ะ ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้วพิษนี้ร้ายแรงนัก ข้าต้องรีบเข้าป่าไปนำสมุนไพรมา” ชายอาวุโสเดินหลังงอไหล่ห่อออกจากบ้านเอื้อมมือดึงประตูกระท่อมเข้าปิด ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปทางป่าที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักอย่างรีบร้อน
“ท่านลุง ข้าไปด้วย” สองเท้าของเสิ่นเฉิงก้าวตามชายอาวุโสอย่างว่องไว
“ดีเหมือนกัน ข้าอาจต้องให้ท่านช่วยระวังหลัง เพราะในป่ายังมีพวกโจรคอยดักปล้นฆ่าชาวบ้าน”
ชายอาวุโสมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่เขารู้ว่ามีสมุนไพรที่ต้องการ จึงใช้เวลาเพียงไม่ถึงเค่อในการเก็บสมุนไพรให้ได้ครบตามตำราชะลอพิษ จากนั้นก็เร่งร้อนย่ำเท้ากลับบ้านในทันที
…
สมุนไพรทุกแขนงถูกทอนออกเป็นส่วนมัดรวมในผ้าขาวก่อนที่จะส่งลงต้มในหม้อน้ำเดือดตามตำราฟางซื่อ[ แพทย์พวกนี้เป็นผู้ที่รู้จักตำรับยาที่สะสมมาตั้งแต่โบราณ รวมทั้งตำรับยาลับซึ่งถ่ายทอดกันเฉพาะลูกหลานในครอบครัวเท่านั้น หรืออาจเพราะแพทย์เหล่านั้นรู้ตำรับยามากมายสะสมไว้ จึงเป็นเหตุให้ประชาชนเรียกพวกเขาว่า ฟางซื่อ]
“จะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งยาม ยาจึงจะให้ผลดี ชะลอพิษได้ชะงัก” ชายอาวุโสพูดพลางก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อ
“ระหว่างนี้ข้าจะประสมยาสมานปากแผล”เสิ่นเฉิงเบิกตาโพลง เขาลืมปากแผลที่ดึงธนูออกมาไปเสียสนิทเลย
“ขอรับท่านลุง ข้าพอจะหยิบจับช่วยอะไรท่านได้บ้างหรือไม่” ชายอาวุโสละสายตาจากสมุนไพรตรงหน้ามองชายหนุ่มร่างกายกำยำที่แบกเกราะหนาอยู่บนร่างกาย แล้วก็หันไปให้ความสนใจกับสมุนไพรตรงหน้าต่อ
“ท่านพักให้สบายเถอะ เดี๋ยวเครื่องแบบของท่านจะเสียหาย” คำพูดของชายอาวุโสทำให้เสิ่นเฉิงก้มมองดูตัวเอง เขามัวแต่เป็นห่วงไท่เว่ย์จนลืมแม้กระทั่งจะถอดเกราะที่สวมอยู่ออก
เห็นเช่นนั้นแล้ว เสิ่นเฉิงไม่รอช้าถอดเกราะที่ติดอยู่บนตัวออก เหลือแต่เพียงชุดข้างใน แล้วลงมือช่วยชายอาวุโสผ่าฟืนที่กองอยู่หน้าบ้าน ออกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจ
…
เมื่อถึงหนึ่งยาม ชายอาวุโสจึงค่อยเทสมุนไพรชะลอพิษลงในหม้อดินเพื่อให้นำไปรักษาไท่เว่ย์ตามคำร้องขอของชายที่นั่งรอจนผล็อยหลับไปตรงข้างเตา แต่เมื่อได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจึงได้ลืมตาขึ้นมองหาต้นตอของเสียง
“ได้แล้วขอรับท่าน” ชายอาวุโสเอ่ยพูดทันทีที่เปลือกตาของเสิ่นเฉิงเริ่มกะพริบ
“ข้าเผลอหลับไป ขออภัยด้วยท่านลุง”ชายอาวุโสไม่ถือสาพยักหน้ารับคำขอโทษอย่างง่าย ๆ พร้อมยกหนึ่งหม้อยา หนึ่งผอบมาวางลงตรงหน้าเสิ่นเฉิง
“ข้าปรุงยาไว้สองตำรับ ในหม้อต้มนี้ผสมน้ำอุ่นดื่มทุกสองชั่วยาม[ ชั่วยามละสองชั่วโมง] ส่วนยาสมานแผลใช้พอกทุกหนึ่งชั่วยาม”เสิ่นเฉิงยกมือประสานขึ้นคารวะชายอาวุโสแต่งกายมัวมอตรงหน้า
“ท่านลุง ข้าเสิ่นเฉิงโง่เขลาไร้สามารถ ข้าคงไม่อาจให้การรักษาไท่เว่ย์ของตัวของข้าเอง เช่นนั้นท่านลุง ขอท่านเดินทางไปยังค่ายด้วยกันเถิด” ชายอาวุโสเหลียวหลังมองกระท่อมของเขา ก่อนที่จะให้คำตอบกับชายตรงหน้า
“ถ้านี่คือสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะทำแล้วมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง ข้าจะไปกับท่าน” ซุ่มเสียงแน่วแน่ของชายอาวุโสทำให้แววตาของเสิ่นเฉิงเป็นประกาย
“รบกวนท่านแล้วท่านลุง” เสิ่นเฉิงส่งชายอาวุโสขึ้นหลังม้าก่อนที่เขาจะขึ้นคุมบังเหียนแล้วทะยานไปข้างหน้า
…
ในยามไร้ข้าศึกค่ายหัวเมืองเหนือเงียบสงบไม่ต่างกับหมู่บ้านชายแดนอื่น ๆ หากแต่บรรยากาศซบเซาด้วยหลังจากเป็นสมรภูมิรบระหว่างทัพหลวงและคนกลุ่มน้อยที่เข้ามารุกราน มองไปทางใดก็พบเห็นความอดอยากทุกหย่อมหญ้า พวกชาวบ้านที่มาจากการลี้ภัยก็มีมาก หลายคนไร้ญาติขาดมิตรหรือไม่อาจอาศัยอยู่ในเมืองหลวงได้ บ้างก็ถูกเนรเทศ อย่างไรก็ดีคนพวกนี้ยังอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของฮ่องเต้ด้วยกันทั้งสิ้น ถึงแม้พวกเขาเหมือนจะถูกทอดทิ้งในบางที ทว่าพวกเขาก็ยินดีที่จะช่วยเหลือกองทัพเมื่อกองทัพร้องขอเช่นชายอาวุโสผู้นี้
“ข้าหวางคุน คารวะไท่เว่ย์”ชายอาวุโสประสานมือเข้าด้วยกันในระหว่างที่เอ่ยชื่อตัวเองเพื่อทำการเคารพชายตรงหน้า
“เสิ่นเฉิงชายผู้นี้เป็น...?”น้ำเสียงแหบพร่าของคนใบหน้าซีดเผือดเอ่ยถาม
“ป ปะ เป็นฟางซื่อขอรับ” เสิ่นเฉิงรีบตอบตะกุกตะกักครั้นสายตาก็ปราดมองชายอาวุโสที่ยืนอยู่ข้างกาย
“อืม เจ้าคงมาเพื่อรักษาข้าสินะ ถ้าเช่นนั้นก็จงรีบเถิด ความอดทนข้าเจียนจะจบสิ้นแล้ว ทรมานเหลือเกิน” สิ้นเสียงไท่เว่ย์ก็ซบหน้าลงกับหมอนอย่างโรยแรง
“ท่านลุง รีบรักษาเถิดมิเช่นนั้นไท่เว่ย์ของข้า...” แววตาของเสิ่นเฉิงวิตกเป็นอย่างมาก ซุ่มเสียงที่เปล่งออกมาขาดห้วงครั้นก็เหลียวมองไปทางที่ฟางซื่อยืนอยู่ ทว่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชายอาวุโส
‘ท่านลุง ท่านหายไปไหนแล้วล่ะ’ เสิ่นเฉิงเดินวนหาชายอาวุโสไปรอบกระโจมด้วยมองหาไม่เห็นก่อนที่จึงได้สังเกตเห็นชายร่างกายผอมบางนั่งยองอยู่ข้างตั่งของไท่เว่ย์
“ท่านลุง ข้านึกว่าท่านหายไปไหน” เสิ่นเฉิงตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเก้อ
“ท่านเชิญออกไปรอนอกกระโจมก่อนเถิด” น้ำเสียงเย็นแนะนำ
“ข้าไม่ออก ข้าจะอยู่ดูท่านรักษาไท่เว่ย์”
“เช่นนั้นก็จงอยู่ในความสงบ” หวางคุนตำหนิพาให้ชายหนุ่มเม้มปากแน่น
…
สามคืนวันผันผ่าน ยาสมุนไพรที่ฟางซื่อปรุงขึ้นถูกใช้รักษาเป็นจอกสุดท้าย จางหย่งที่นอนไม่รู้เนื้อตัวตลอดสามวัน เริ่มขยับร่างกายได้โดยมิต้องอาศัยผู้ใดประคอง