6.กามเทพอาบยาพิษ
จางหย่งขืนใจยืดหลังตั้งตรงทั้งที่ธนูพิษยังคงปักคาอยู่ตรงสีข้าง สองแข้งในสนับเกราะเตืองน่อง[ กระตุ้นม้าด้วยน่อง]เข้ากับสีข้างของอาชาสีนิล “ย่ะ!!” ยังไม่ทันสิ้นหางเสียงฝีเท้าหนักแน่นของอาชาศึกก็ทะยานฝ่าความมืดเข้าไปยังป่าลึกอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว จวบจนความวับวาวของเกราะทองเหลืองที่ต้องแสงจันทร์ลับตาของเสิ่นเฉิงไป
ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าฝากริ้วเมฆที่ลอยเลื่อนกลบเกลื่อนแสงจันทร์ไม่ให้สาดส่องต้องพื้นจนกว่าไท่เว่ย์ของเขาจะเดินทางถึงค่ายหัวเมืองเหนืออย่างปลอดภัย
…
ถึงแม้ว่าจางหย่งจะเยี่ยมยุทธ์และขึ้นชื่อว่ามีความอดทนเป็นเลิศ ทว่าสีหน้าที่อิดโรย อีกทั้งใบหน้าที่ซีดเผือดก็ไม่อาจทำให้เสิ่นเฉิงมือขวาคนสนิทวางใจในความปลอดภัยของไท่เว่ย์ได้ กระนั้นเขาจึงวกม้าหวนกลับเข้าทัพอย่างรีบร้อน เปล่งน้ำเสียงกร้าวสั่งทัพใหญ่ให้แยกออกเป็นหน่วยทัพย่อยเพื่อง่ายต่อการเดินทางอีกทั้งเลี่ยงต่อการถูกโจมตีในคราวเดียว
มือกร้านที่ใช้จับดาบกรำศึกชี้นิ้วออกเลือกทหารที่รอดพ้นจากคมธนูห้าถึงหกนาย “พวกเจ้าไปกับข้า” ยังไม่ทันสิ้นเสียงกร้าวที่ดังไปทั่วบริเวณ “ย่ะ!!”เสียงให้สัญญาณพร้อมกับเตืองน่องเข้ากับม้าคู่ใจก็ดังขึ้น ฝีเท้าที่เคยเยาะย่างทะยานสู่ความมืดนำหน้าทหารที่ได้รับเลือกไป
ออกม้ามาได้ยังไม่ถึงสองเค่อ[ เค่อละสิบห้านาที]เสิ่นเฉิงสังเกตเห็นเงาหนึ่งตะคุ่มอยู่ระหว่างเงาต้นไม้ใหญ่จากแสงเดือนที่สาดรอดแมกไม้ลงมาอย่างไม่น่าไว้วางใจ จึงสั่งให้ทหารทั้งหกนายพร้อมด้วยนายกองจำเป็นค่อยล้อมวงเข้าลอบสังเกต “นี่อาจเป็นกับดัก พวกเจ้าไปซุ่มอยู่ในเงาใกล้ ๆ นี้ก่อน” เสิ่นเฉิงเอ่ยสั่งด้วยซุ่มเสียงแผ่ว ก่อนที่จะค่อยเคลื่อนกระบี่ออกจากฝักอย่างระมัดระวังผู้ที่อยู่ในเงาตะคุ่ม
เขาใช้สายตากวาดมองสิ่งที่ตนเองพยายามเพ่งมองตรงหน้าลึกเข้าไปในความมืด แสงเดือนเสี้ยวยังคงส่องแสงตามกำลังพาให้เห็นเรือนแผงคอยาวสีดำสนิทของม้าที่ถูกขนาบไว้ด้วยแผงอกของชายร่างกายกำยำ เสิ่นเฉิงค่อยขับม้าเข้ามาใกล้ ม้าสีนิลนั้นช่างมีลักษณะคุ้นตาทั้งยังไม่ตระหนกทั้งที่ม้าอีกตัวเข้าไปใกล้ ถึงจะฝึกมาดีอย่างไรม้าต่างคอกกันก็ย่อมแตกตื่นเมื่ออยู่ใกล้มาแปลกคอกอยู่ดี หรือว่า...
“ท ทะ ไท่เว่ย์” เสิ่นเฉิงพลิ้วตัวลงจากม้าอย่างคล่องแคล่วทันทีที่แน่ใจว่าร่างไร้สติของชายตรงหน้าที่นอนนิ่งขนาบอยู่บนอานม้านั้นคือ เซวียนจางหย่งผู้มีพระคุณของเขา
…
“ทหาร!”เสียงกร้าวเปล่งออกจากลำคอชายฉกรรจ์ ทหารทั้งหกนายก็เคลื่อนตัวออกจากเงาไม้
“พาม้าของข้ากลับค่ายด้วย” ยังไม่ทันสิ้นคำสั่ง เสิ่นเฉิงก็ดีดตัวพลิ้วขึ้นซ้อนกับร่างไร้สติของจางหย่งที่นอนซบอยู่บนหลังม้า พลันก็เตืองน่องเข้ากับสีข้างของม้าทะยานมุ่งไปข้างหน้า
ในใจอันแสนจะรุ่มร้อน เขาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับจางหย่งมาตั้งแต่เป็นนายกองจนกระทั่งรั้งตำแหน่งขึ้นเป็นไท่เว่ย์ เขาไม่เคยเห็นจางหย่งได้เจ็บหนักขนาดสิ้นสติ เสิ่นเฉิงเข้าใจว่าชายสมชายต้องมีรอยจารึกการต่อสู้ ทว่าร่องรอยที่จางหย่งต้องผ่านไปให้ได้นี้ใหญ่หลวงนัก
ม้าศึกตีนต้นทะยานตัวพาทหารหาญทั้งสองนายมุ่งหน้าสู่ค่ายหัวเมืองเหนือในเวลาไม่ถึงเค่อ เสิ่นเฉิงประคองร่างไร้สติของจางหย่งลงจากหลังม้าเข้ายังกระโจม ครั้นก็ค่อยวางคนโดนพิษลงแนบกับหมอน
“ข ขอ น น้ำ” ริมฝีปากแห้งผากขยับพูดอย่างอ่อนแรง
เสิ่นเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็กระวีกระวาดยกกาน้ำชาเทลงจอก พลันก็ประคองให้จางหย่งลุกขึ้นดื่ม “แข็งใจไว้นะท่าน” จางหย่งพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ “ข้าจะต้องถอนธนูออกให้ท่านก่อน” เสิ่นเฉิงถอดเกราะบนร่างกายของตนออกวาง ก่อนที่จะใช้มือหักก้านธนูทิ้งแล้วใช้ที่มีดสั้นแหวกเนื้อนำเอาคมธนูออกจากสีข้างของจางหย่ง เลือดที่พอซึมปากแผลกลับกลายเป็นไหลอาบออกมาอย่างมากมาย เสียงกร้าวแผดร้องออกอย่างเจ็บปวดก้องไปทั่วบริเวณค่าย ก่อนที่จะเบาลงเพราะกัดกรามอดกลั้นเอาไว้หลังจากที่ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ “ข้าจะออกไปตามหาหมอยา” เสิ่นเฉิงหยิบเกราะที่ถอดออกขึ้นมาสวมเข้ามาประกอบกับบนร่างกายอีกครั้งแล้วหุนหันออกจากกระโจมไป
เขามุ่งหน้าไปตั้งต้นขอความช่วยเหลือที่ ‘หมู่บ้านชายแดนเหนือ’ ในบริเวณใกล้ที่ตั้งค่ายยังมีชาวบ้านแคว้นจิ้งอาศัยอยู่บ้างพอประปราย เสิ่นเฉิงค่อยไล่ถามชาวบ้านไปทีละคนถึงหมอยาที่สามารถรักษาพิษจากธนูได้ ต่างคนต่างก็เอ่ยถึงปรมาจารย์ลี่อินเป็นเสียงเดียว ทว่าก็ไม่มีผู้ใดรู้ถิ่นฐานที่แน่นอนของหมอยาผู้นี้
“นอกจากท่านลี่อินแล้ว ในบริเวณนี้พอจะมีผู้ใดรู้เรื่องการรักษาอีกหรือไม่”
“ข้าก็พอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง” ชายอาวุโสนุ่งห่มเสื้อผ้าขาดวิ่นเอ่ยพูด เสิ่นเฉิงช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากชายผู้ไม่น่าเชื่อถือตรงหน้า
“ท่านลุง ท่านจะพอช่วยข้าได้หรือไม่” ชายอาวุโสพยักหน้าอย่างเจียมตัว เขารู้ดีว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูไม่น่าเชื่อถือว่าจะสามารถให้การรักษาผู้ใดได้ ทว่าความรู้นั้นไม่อาจแสดงด้วยตำแหน่งบัณฑิตแต่เพียงอย่างเดียว
“ท่านมีตัวอย่างพิษหรือไม่”
“ข้ามี”เสิ่นเฉิงยื่นห่อผ้าขาวสีมอที่ห่อหุ้มหัวดอกธนูเอาไว้ให้ชายอาวุโส
“ข้าจะต้องทดสอบพิษเสียก่อนว่าเป็นพิษชนิดใด จึงจะเลือกสมุนไพรมาปรุงชะลอพิษได้” ชายอาวุโสรับห่อผ้านั้นมาไว้ในมือก่อนเดินมุ่งหน้าไปยังกระต๊อบเก่าคร่ำคร่าอันเป็นที่อาศัยของเขา
“ท่านหาที่นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะหาผลของพิษสักสองเค่อ ท่านพักให้สบายเถอะ” เสิ่นเฉิงกวาดตามองไปทั่วบริเวณ ก่อนที่จะค่อยหย่อนสะโพกลงกับโขดหินเตี้ย ๆ หน้ากระท่อมใกล้กองฟืนหุงต้ม