4.ประดับปีกมังกร
“ม้าเร็วนำสารมาจากหัวเมืองเหนือพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นผ่านฉากกั้นในหน้าห้องทรงอักษร
“ว่าอย่างไร” พระเนตรที่คร่ำเคร่งอยู่กับตัวหนังสือตรงหน้า ฉายแววกระหายรู้ในความ
“ทัพแดนเหนือภายใต้การนำทัพของนายกองเซวียนจางหย่ง ได้ตีชนเผ่านอกด่านจนแตกสานซ่านเซ็น ไม่อาจกลับมารวมก๊กเหล่าได้อีก บัดนี้หัวเมืองแดนเหนือกลับสู่สภาพปกติแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีได้ยินเนื้อความ องค์ฮ่องเต้ก็ลุกออกจากห้องทรงอักษรอย่างรีบร้อน
“ข้าจะแต่งราชโองการ” น้ำเสียงเด็ดขาดแฝงด้วยความยินดีจนอู๋กงกงสัมผัสได้ จึงรีบเอ่ยสั่งการอย่างเร่งรีบให้ขันทีในสังกัดได้ไปจัดแจง
“แจ้งราชบัณฑิตให้มาที่ท้องพระโรง”
“ขอรับกงกง”
…
“นายกองเซวียนจางหย่งรับราชโองการ” ม้าเร็วนายหนึ่งไถลตัวลงจากหลังมาสีดำ ก่อนที่เซวียนจางหย่งจะคุกเข่าลงต่อหน้ากระดาษผืนกว้างที่ประทับตรามังกรกำกับเอาไว้
ม้าเร็วคลี่กระดาษผืนกว้างออกเสียงอ่านราชโองการ เซวียนจางหย่งก้มหน้าคำนับรับราชโองการ และเมื่อม้าเร็วได้แจ้งราชโองการที่นำมาเป็นการเรียบร้อย เขาก็ควบม้ากลับไปตามทางที่จากมา
…
การกลับเข้าเขตพระราชฐานครั้งแรกหลังจากแต่งทัพออกไปยังหัวเมืองเหนือของเซวียนจางหย่ง เรียกเสียงโห่ร้องสรรเสริญของราษฎรให้ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณประตูชัย ในทันทีที่ขบวนทัพของวีรบุรุษของแคว้นจิ้งเคลื่อนผ่าน ทวารบาลประจำด่านจึงแต่งมหาดเล็กให้นำข่าวการมาของทัพเซวียนจางหย่งส่งเข้ายังวังหลวงในทันที
อู๋กงกงพยักหน้ารับรู้เมื่อรับสารที่มหาดเล็กนำมาบอก ก่อนที่จะเร่งฝีเท้าของตนไปยังหออักษรที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่
“เซวียนจางหย่งเคลื่อนทัพมาถึงประตูเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค...” อู๋กงกงแจ้งข่าวต่อองค์ฮ่องเต้ในทันทีที่เขามาถึงหน้าห้องทรงอักษร
ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยได้จนจบ ชายผู้ทรงฉลองพระองค์สีทองริ้วลายมังกรก็ปรากฏร่างต่อหน้าอู๋กงกงด้วยสีหน้าอิ่มสุข ทั้งแววตาก็ส่อแววแย้มยิ้ม
“ท่านจงไปแจ้งไทเฮา” ยังไม่ทันที่อู๋กงกงจะค้อมตัวรับพระราชประสงค์ ผู้ทรงฉลององค์ริ้วชายทองก็ก้าวพลิ้วไปข้างหน้าจนอู๋กงกงก้าวยาวตามแทบไม่ทัน
“ฝ่าบาท”
“ไม่ต้องละ ข้าจะไปหาไทเฮาเอง ท่านจงไปจัดแจงให้จางหย่งไปหาข้าทันทีที่เข้าเขตวังหลวงละกัน” อู๋กงกงค้อมตัวลงรับพระราชประสงค์อีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปบอกกับมหาดเล็กให้ไปแจ้งแก่ทัพของเซวียนจางหย่งที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
…
ฉลองพระองค์สีทองพลิ้วไหวตามจังหวะพระราชดำเนินอย่างเร่งร้อนมุ่งหน้าสู่วังโซ่วคังกงด้วยเส้นทางลัดเลาะอันคุ้นเคยที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป
“ฮ่องเต้เสร็จ” เสียงออกขานของมหาดเล็กหน้าประตูวังเป็นไปอย่างประดักประเดิดรีบร้อนด้วยฮ่องเต้ทรงเสร็จอย่างฉุกละหุกไม่ทันได้ตั้งตัว พานให้หลี่กงกงเร่งฝีเท้าเข้าทูลแก่ไทเฮาแต่ก็ไม่ทันจะได้กราบทูล องค์ฮ่องเต้ก็เสร็จผ่านประตูเข้ามาปรากฏต่อหน้าองค์ไทเฮาในเวลาเดียวกัน
“ฝ่าบาทเร่งร้อนเช่นนี้มีเหตุอันใดกัน” พระพักตร์งามแจ่มของไทเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์
“ไทเฮา ขออภัยที่ลูกมาอย่างไม่ได้บอกกล่าว ลูกดีใจเสียจนไม่อาจรอให้อู๋กงกงมาแจ้งข่าวเรื่องที่จางหย่งจะถึงวังหลวงในหนึ่งชั่วยามนี้”
“จางหย่ง” ไทเฮาทวนชื่อที่ได้ยิน นัยน์ตาของพระนางฉายประกายแวววาว ด้วยนานถึงสามหนาวแล้วที่นางไม่ได้พบเจอหลานชายตลอดเวลาที่ยกทัพไปกรำศึกยังหัวเมืองเหนือ
“ลูกจะจัดงานแต่งตั้งให้จางหย่งเป็นไท่เว่ย์[ หรือสำเนียงฮกเกี้ยนเรียก ไทอุย แปลตรงตัวว่า มหาเสนา (จีน: 太尉; พินอิน: Tàiwèi; อังกฤษ: Grand Commandant) เป็นตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในจีนโบราณ] ท่านแม่คิดเห็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้ว...กั๋วกงล่ะ ฝ่าบาทยังไม่ได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งมิใช่หรือ” ถึงแม้สีหน้าของไทเฮาจะปริ่มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อได้ยินความประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ก็อดที่จะค้านในสิ่งที่อาจจะผิดประเพณีจนอาจเป็นเหตุให้เสนาบดีต่าง ๆ คัดค้านได้
“ลูกจะเรียกเสนาบดีเข้าสภาเพื่อชี้แจงการปลดไท่เว่ย์ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำถูกแล้วฝ่าบาท”
และทันทีที่ฮ่องเต้เสด็จพระราชดำเนินออกจากตำหนักโซ่วคังกง จึงได้มีรับสั่งให้อู๋กงกงไปแจ้งแก่องค์ฮองเฮาให้ตระเตรียมงานฉลองเกียรติแต่งตั้งไท่เว่ย์ให้สำเร็จภายในสามวัน
…
วังหลวงถูกเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับเนรมิตหลังจากสามวัน หลังจากที่เสนาบดีต่างก็เห็นพ้องกับพระราชประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ เขตพระราชฐานชั้นในจึงได้ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่สวยสดงดงามในยามต้องแสงอาทิตย์และเฉิดฉายสุกสว่างด้วยแสงจากโคมแดงในยามค่ำคืน ทุกซอกมุมทุกหย่อมหญ้าล้วนสว่างราวกับสวนสวรรค์ขององค์เง็กเซียนด้วยความใส่ใจขององค์ฮองเฮา
“พลุไฟถูกทยอยนำเข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”ลู่กงหนี่ว์[ หรือนางกำนัลรับใช้ภายในวังหลวง คอยทำหน้าที่รับใช้องค์จักรพรรดิ พระภรรยาต่างๆ และเชื้อพระวงศ์ รวมถึงทำงานจิปาถะต่างๆ ทั้งหมดภายในวัง]กราบทูลสิ่งที่ฮองเฮาตั้งใจจะมอบให้สมกับฐานะและความกล้าหาญของไท่เว่ย์คนใหม่
“หม่อมฉันสั่งพลุไฟมาจุดฉลองด้วยเพคะ” น้ำเสียงอ่อนเอ่ยพูดกับผู้เป็นพระสวามี
“เพราะฮองเฮาใส่ใจงานจึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น ขอบใจเจ้ายิ่งนัก”
“หามิได้เพคะฝ่าบาท”
…
“นับตั้งแต่เซวียนกั๋วกงขอพระราชทานพระราชานุญาตไปกรำศึกยังหัวเมืองเหนือตำแหน่งไท่เว่ย์ก็ร้างอยู่เช่นนั้นเป็นเวลายาวนานด้วยหามีผู้ใดสามารถเชี่ยวชาญชำนาญการรบได้เทียบเท่า ข้าจึงไม่แต่งตั้งใครขึ้นแทน ทว่าวันนี้เซวียนจางหย่งผู้เป็นบุตรเติบใหญ่เชี่ยวชาญการรบและกล้าหาญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเซวียนกั๋วกง ข้าฉินเยวี่ยจั้น ฮ่องเต้แห่งแคว้นจิ้งจึงขอปลดเซวียนกั๋วกงจากตำแหน่งไท่เว่ย์และแต่งตั้งให้เซวียนจางหย่งขึ้นเป็นไท่เว่ย์แทน” พระสุรเสียงขององค์ฮ่องเต้ก้องดังลานพลับพลาที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าเสนาบดี ราชบัณฑิต และตัวแทนจากแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมเป็นพยาน