บทที่ 3
บทที่ 2
ดิษกรย์เดินทางไปหามารดาในโรงแรมที่ท่านพักอาศัยอยู่ในทันที เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว พอแท็กซี่จอดด้านหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมองจากสภาพภายนอกแล้วคงไม่ได้มาตรฐานของโรงแรมสักเท่าไร ก็เต็มไปด้วยความสงสารมารดา เพราะท่านเคยอยู่แต่ในคฤหาสน์หลังใหญ่โต ทว่าตอนนี้ต้องมาทนอุดอู้อยู่ในห้องเล็กๆ ของโรงแรม
“คุณแม่ ผมมาถึงแล้วครับ”
ดิษกรย์เอ่ยบอกขณะเคาะประตูหน้าห้องพักของมารดา และไม่ต้องรอนาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกกว้าง ตามด้วยร่างเล็กผอมบางของมารดา ซึ่งโผเข้ามากอดเขาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้โฮด้วย
“ดิษ...ดิษของแม่ มาแล้วหรือลูก...”
“ครับ ดิษมาแล้วครับ ดิษจะไม่ทิ้งคุณแม่ไปไหนแล้วครับ”
ดิษกรย์กอดมารดาไว้แน่นไม่แพ้กัน ปล่อยให้ท่านร้องไห้จนเป็นที่พอใจ จึงประคองเข้าไปในห้องเล็กๆ ซึ่งมีเตียงนอนตั้งชิดกับผนังห้อง และมีโซฟาเก่าๆ ให้นั่งอีกหนึ่งตัวเท่านั้น
“คุณแม่นั่งลงก่อนนะครับ”
มณีวรรณทรุดตัวลงนั่งตามแรงประคองของลูกชาย เอ่ยตำหนิลูกติดน้ำเสียงสั่นเครือ
“ทำไมมาช้านัก แม่ต้องรอดิษถึงสองวัน”
ดิษกรย์นั่งลงกับพื้นห้อง ซึ่งไม่ได้มีพรมหนานุ่มรองรับเหมือนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าของตน ทว่าพื้นห้องหยาบๆ ติดสกปรกไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มนึกรังเกียจ นอกจากสงสารมารดาที่ต้องทนอาศัยอยู่ที่นี่ ระหว่างพยายามติดต่อหาเขาให้ได้
“ผมขอโทษครับ ผมบินกลับกะทันหันเลยหาตั๋วเครื่องบินยาก อีกอย่าง...ผมต้องเคลียร์เรื่องงานกับทางบริษัทด้วยครับ”
“ดิษจะไม่กลับไปนอร์เวย์อีกแล้วใช่ไหมลูก”
ดิษกรย์พยักหน้ารับ เอ่ยบอกถึงสิ่งที่ตนได้จัดการเป็นการเร่งด่วน เพื่อกลับมาอยู่ประเทศไทยเป็นการถาวร
“ครับ ไม่กลับแล้วครับ ผมประกาศขายเพนท์เฮ้าส์และลาออกจากงานแล้วครับ”
คำตอบของลูกชายทำให้ดวงตาของมณีวรรณไหววาบอยู่ชั่วขณะ ทว่าดิษกรย์ไม่ทันได้สังเกต
“ขายได้กี่ล้านหรือลูก”
“หลายสิบล้านครับ คุณแม่ เพราะเพนท์เฮ้าส์ของผมอยู่ใจกลางกรุงออสโล ย่านธุรกิจด้วย แต่ผมยังไม่ทราบว่าจะได้ราคาตามที่ตั้งไว้หรือเปล่า ผมขายผ่านทนายต้องรอให้ทนายติดต่อมาอีกทีครับ”
ดิษกรย์ไม่ได้เอะใจหรือนึกสงสัยที่มารดาเอ่ยถามถึงจำนวนเงินในการซื้อขาย เพราะคิดว่ามารดาคงต้องการสอบถามถึงความเป็นอยู่ทั่วไปของตน และสิ่งที่เขาเป็นทุกข์อยู่ในใจในขณะนี้คือเรื่องที่บิดาได้ทำการฆ่าตัวตาย
“คุณแม่ครับ เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ผมไม่อยู่ ลุงนพวิทช์โกงคุณพ่อยังไง ทำไม...ทำไม...ท่านถึงได้ตัดสินใจคิดสั้นทิ้งพวกเราไป...”
เมื่อได้ยินชื่อของศัตรู มณีวรรณก็ตีหน้าบึ้ง เสียงแข็งขึ้นมาทันที “แม่บอกแล้วว่าอย่าไปเรียกมันว่า ‘ลุง’ ไม่ต้องนับญาติกับคนที่ทำให้พ่อของดิษต้องตาย”
“คุณแม่บอกผมสิครับ ว่าเขาทำอะไร”
รู้ว่ามารดาเจ็บแค้น ดิษกรย์ก็เลี่ยงที่จะพูดถึงชื่อของคนที่เคยเป็นเพื่อนรักของบิดา และอยากรู้เหลือเกินว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
ดวงตาของมณีวรรณแข็งกร้าว ขณะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกชายฟัง “เพราะคำว่ารักเพื่อน เชื่อใจเพื่อน ทำให้พ่อของดิษต้องหมดตัว และฆ่าตัวตาย พวกมันชวนให้พ่อของดิษเล่นหุ้นทั้งๆ ที่พ่อไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย แต่พ่อก็เชื่อใจไอ้นพวิทช์ ไม่ว่าเขาจะพูดยังไง แนะนำให้ทำอะไรพ่อก็ทำตามทุกอย่าง”
“เขาพาคุณพ่อเล่นหุ้นนานแค่ไหนครับ”
“แค่ปีเดียวเท่านั้น ดิษ...ระยะเวลาแค่หนึ่งปี พวกมันหลอกเงินของคุณพ่อจนหมดตัว คราวใดที่หุ้นร่วงดิ่งลงเหว เขาก็ปลอบใจว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น เขาหลอกให้พ่อเอาโฉนดบ้านไปจำนองกับนายหน้า ซึ่งก็เป็นเพื่อนในแก๊งที่พวกมันสมหัวร่วมคิดด้วยกัน เมื่อพ่อไม่มีเงินไปจ่ายค่าดอกเบี้ยที่จำนองไว้ ไอ้นพวิทช์ก็ยึดบ้านของเราไปเป็นของมันในทันที”
“ทำไมคุณแม่ไม่บอกผมในเรื่องนี้เลยครับ ผมโทร.มาหาคุณแม่ตลอด แต่คุณแม่ก็บอกแค่ว่าสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่”
ด้วยงานที่ค่อนข้างรัดตัว ทำให้ดิษกรย์ไม่มีโอกาสได้กลับประเทศไทยบ่อยครั้งนัก กระนั้นเขาก็โทร.ติดต่อหาบิดามารดาตลอดเวลา
และทุกครั้งที่โทร.มาหาท่านทั้งสอง ก็ไม่ลืมสอบถามถึงความเป็นอยู่ของท่านด้วย แน่นอนว่ามารดาตอบเขาว่าท่านทั้งสองสบายดี ทำให้เขาไม่รู้ความจริงเลยว่าท่านทั้งสองกำลังถูกเพื่อนรักหลอกให้เดินบนเส้นทางอันตราย
“แม่ไม่อยากให้ดิษเป็นห่วง ไม่อยากให้เป็นกังวลจึงตอบดิษว่าพ่อกับแม่สบายดี”
“คุณแม่น่าจะบอกผมเรื่องบ้าน ผมจะได้จัดการไถ่ถอนมาจากพวกเขา ไม่ให้พวกเขายึดไป”