บทที่ 4
“แม่อยากบอกดิษเหลือเกิน อยากโทร.หาดิษใจจะขาด” มณีวรรณบอกเสียงแผ่วเบา ก่อนจะร้องไห้ตัวสั่นสะท้านขณะบอกลูกชายต่อ “พวกมัน...พวกมันขู่แม่...ขู่ว่าถ้าหากบอกเรื่องนี้กับดิษ มันจะฆ่าแม่ให้ตาย”
“บัดซบ!”
ดิษกรย์สบถออกมาด้วยความลืมตัว ดวงตาแข็งกร้าว ขบกรามจนเส้นเอ็นปูดโปน ในหัวเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ผู้เป็นมารดายกมืออันสั่นเทาขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง ความหวาดกลัวยังแพร่กระจายอยู่ทั่ว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
“ไอ้คนชั่วมันพาลูกน้องมาเกือบห้าคน มาขู่พ่อกับแม่ถึงในบ้าน ว่าห้ามโทร.บอกดิษ พวกมันติดเครื่องดักฟังในบ้านด้วย ทำให้แม่ไม่กล้าบอกความจริงกับดิษ จนกระทั่งทุกอย่างเป็นไปตามเกมที่มันต้องการ บ้านและรถของพวกเราตกไปอยู่ในมือของไอ้นพวิทช์ทั้งหมด”
“คุณแม่ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมอยู่นี่แล้ว ผมจะไม่ทิ้งคุณแม่ไปไหนอีกแล้ว”
ดิษกรย์จับมือของมารดามากุมไว้ รับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่ยังคงฝั่งแน่นอยู่ เพราะตอนนี้มือของท่านนอกจากจะเย็นเฉียบแล้วยังสั่นเทาไม่หยุด
มณีวรรณฝืนยิ้มทั้งน้ำตาให้กับผู้เป็นลูก “แม่รู้ว่าดิษจะไม่ทิ้งแม่อีกแล้ว”
“ผมจะดูแลคุณแม่เองครับ ผมจะซื้อบ้านหลังใหม่ให้คุณแม่นะครับ”
ดิษกรย์บอกถึงสิ่งที่ตนขบคิดไว้ แต่ผู้เป็นมารดากลับส่ายหน้าปฏิเสธในทันที
“ไม่! แม่ไม่ต้องการบ้านหลังใหม่ แม่ต้องการบ้านของแม่คืน บ้านที่เคยเป็นเรือนหอของแม่ บ้านที่แม่เคยคลอดและเลี้ยงดูดิษจนเติบโต ดิษต้องเอาบ้านของเราคืนมา”
ดิษกรย์นิ่งเงียบไปชั่วขณะ หัวสมองเต็มไปด้วยความคิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการแก้แค้น!
เมื่อลูกชายไม่พูดไม่ตอบโต้ เอาแต่นิ่งเงียบกัดฟันดังกรอด มณีวรรณก็บอกถึงสิ่งที่ท่านได้พบเจอจากบรรดาคนเลวเหล่านี้
“ดิษรู้ไหมว่าในวันที่พวกมันมายึดบ้านของเรา ไอ้นพวิทช์กับนังลัลน์ลลินมันมาไล่แม่ออกจากบ้านที่เคยเป็นบ้านของแม่”
“ลัลน์ลลิน”
“ใช่! นังลัลน์ลลินมันมาไล่แม่ออกจากบ้านยังกับหมูกับหมา”
ได้ยินเสียงของมารดาเอ่ยบอกเสียงแข็งแฝงไปด้วยความเจ็บปวด ดิษกรย์ก็รีบเอ่ยถามในทันที
“เธอทำอะไรกับคุณแม่บ้างครับ บอกผม...” น้ำเสียงในตอนท้ายติดห้วนและแข็งกร้าว
“แม่ขอร้องนังลัลน์ลลินว่าขออยู่ในบ้านต่อจนกว่าจะติดต่อดิษได้ แต่เธอไม่ยอม เธอไล่แม่ให้ออกจากบ้านในวันนั้นนาทีนั้น ดิษรู้ไหม...แม่...แม่ยกมือไหว้มัน ไหว้คนที่อายุอ่อนกว่าแม่เกือบครึ่งอายุคน แม่ยอมยกมือไหว้มัน เพื่อขออยู่ในบ้านอีกสักระยะเท่านั้น แต่มัน...ไม่ยอม มันสั่งให้ลูกน้องลากแม่ออกจากบ้านในวันนั้น...”
“นรก!”
ดิษกรย์สบถลั่นห้อง ใบหน้าถมึงทึง ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์เพราะความโกรธจัด เมื่อรู้และนึกภาพออกว่ามารดาถูกกระทำอย่างไร้เกียรติ!
“ลัลน์ลลิน!”
น้ำเสียงที่แค้นเรียกลอดไรฟันฟังดูเย็นยะเยือก หากผู้เป็นเจ้าของชื่อได้ยินเสียงนี้ ก็มีอันต้องขนลุกซู่กับความเคียดแค้นที่มาพร้อมกับการขานเรียกชื่อของเธอ
“ดิษควรได้เห็นตอนที่พวกมันลากแม่ออกจากบ้าน...พวกมันทำกับแม่ ยังกับแม่ไม่ใช่คน” มณีวรรณร้องไห้สะอึกสะอื้น จนดิษกรย์ต้องรีบโอบกอดท่านไว้เพื่อคลายความทุกข์ ความเจ็บปวด
“พวกมันจะไม่มีโอกาสได้ทำร้ายคุณแม่อีกแล้ว” ดิษกรย์บอกเสียงแข็ง
“แม่...แม่อยากให้ดิษแก้แค้นให้พ่อ แก้แค้นให้แม่ เอาบ้าน เอารถ เอาทุกอย่างที่เคยเป็นของพวกเรากลับคืนมา และทำให้พวกมันย่อยยับเหมือนที่มันทำกับครอบครัวของเรา”
“แน่นอนครับ ผมไม่มีทางปล่อยให้พวกมันได้อยู่อย่างสุขสบายบนความทุกข์และความตายของคุณพ่อ”
“นังลัลน์ลลิน มันสมควรได้รับการสั่งสอน แม่เคยรักและเอ็นดูมันเหมือนลูกหลาน แต่มันไม่เคยนับถือแม่เลย แม่เจ็บใจนัก ที่ถูกมันทำยังกับหมูกับหมา”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ ความแค้นนี้จะหายไปจากใจของคุณแม่ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาบ้านของเรากลับคืนมา และพวกมันจะต้องได้รับการสั่งสอนจากผมอย่างสาสม”
นี่คือสิ่งที่วิ่งวนอยู่ทั่วหัวสมอง แน่นอนว่าดิษกรย์จะแก้แค้น และเอาทุกอย่างที่เคยเป็นของครอบครัวของเขากลับคืนมา เมื่อคนเลวเหล่านี้โกงเอาบ้านไปด้วยวิธีสกปรก เขาก็จะเอาบ้านกลับคืนด้วยวิธีสกปรกเช่นเดียวกัน และคนที่จะถูกคิดบัญชีคนแรกก็คือลัลน์ลลิน!!!