บทที่ 2
ดิษกรย์ไม่ได้ฟังชื่อของคนที่เด็กรับใช้ได้พูดถึง ชื่อของเจ้าของบ้านไม่ได้สะกิดในหัวใจของเขา นาทีนี้ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความงุนงงว่า ทำไมเด็กรับใช้บอกว่าคุณแม่ของเขาไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านที่เป็นของครอบครัวพวกเขามาชั่วอายุคนแล้ว
“คุณคะ มีอะไรจะถามอีกไหมคะ ฉันจะไปทำงานต่อแล้วนะคะ” เด็กรับใช้เอ่ยถามหลังจากต้นทางนิ่งเงียบหลายนาทีด้วยกัน
“ไม่มีแล้ว ขอบใจมาก”
ดิษกรย์กดวางสาย ความสงสัยยังวิ่งวนอยู่ทั่วหัวสมอง อีกทั้งยังอยากได้รับความกระจ่างเรื่องของบิดาด้วย คราวนี้จึงเลือกโทร.เข้าเบอร์มือถือของมารดาแทน และไม่ต้องถือ
สายรอนาน ผู้เป็นมารดาก็กดรับสาย พร้อมกับถ้อยคำต่อว่าชุดใหญ่จนชายหนุ่มฟังแทบไม่ทัน
“ดิษ...ทำไมเพิ่งโทร.มาหาแม่ รู้ไหมว่าพ่อตายแล้ว ฮือๆๆ ทำไมไม่ติดต่อหาแม่ ทำไมปล่อยให้แม่ลำบากอยู่ตั้งนานสองนาน”
ถ้อยคำตัดพ้อ กอปรกับเสียงสะอื้นร้องไห้ดังลั่นของมารดา ทำให้ดิษกรย์รู้สึกผิดเต็มประดา ชายหนุ่มขบกรามกลั้นความรู้สึกผิดไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วเบา
“ผมขอโทษครับ คุณแม่”
“แม่โทร.เข้าทั้งเบอร์บ้าน ทั้งมือถือของดิษ แต่ดิษไม่รับโทรศัพท์ของแม่เลย”
มณีวรรณ ผู้เป็นมารดายังคงต่อว่าลูกชายด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ระงมของมารดา ดิษกรย์ก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น “ผมลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่เพนท์เฮ้าส์ตอนไปทำงานครับ”
เพราะความสะเพร่าของตนและรีบร้อนกลับไปทำงานกลางท้องทะเลกว้าง จนกระทั่งไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือไปด้วย และนั่นทำให้เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุพการีทั้งสอง
“คุณแม่...เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไม...คุณพ่อ...ถึงตาย...”
แม้พยายามบังคับน้ำเสียงไว้สุดกำลัง ทว่าในตอนท้ายก็ติดสั่นเครือ น้ำตาของลูกผู้ชายรื้นขอบตา เมื่อนึกถึงการจากไปอย่างกะทันหันของบิดา
“เพราะพวกมัน...พวกมันทำให้พ่อของดิษต้องตาย!”
น้ำเสียงของมารดาที่ดังกระทบโสตประสาท เต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนดิษกรย์จับความรู้สึกได้
“พวกมัน ใครหรือครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้บิดาต้องตายก่อนวัยอันสมควร
“ไอ้นพวิทช์กับนังลัลน์ลลิน ลูกสาวของมัน”
ก่อนหน้านี้ดิษกรย์ไม่ได้สนใจหรือเอะใจกับชื่อ ‘ลัลน์ลลิน’ ที่เด็กรับใช้บอกว่าเป็นเจ้า
ของบ้านที่เคยเป็นของเขามาก่อน นาทีนี้ชายหนุ่มนึกออกแล้วว่าลัลน์ลลินคือใคร
และแน่นอนว่า ‘นพวิทช์’ ที่มารดากำลังพูดถึงด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นติดโกรธเคืองเป็นที่สุดนั้น ก็คือเพื่อนรักของบิดาเขานั่นเอง
“ลุงนพวิทช์และลลินคือสาเหตุทำให้คุณพ่อต้องตายยังงั้นหรือครับ ผมไม่เข้าใจที่คุณแม่พูด”
“ดิษไม่ควรนับถือมันว่าเป็นลุง” มณีวรรณต่อว่าเสียงสูง แล้วเอ่ยตอบด้วยความเจ็บแค้น “เพราะพวกมันโกงทุกอย่างไปจากพวกเราจนพ่อของดิษกลายเป็นคนล้มละลาย และ...และยิงตัวตาย”
“ยิงตัวตาย...”
โทรศัพท์ที่ถืออยู่แทบหลุดจากมือ ไม่คิดว่าว่าบิดาจะทำการอัตวินิบาตกรรมตัวเอง
“ใช่...ดิษ...พ่อ...ยิงตัวตาย...” คราวนี้ผู้เป็นมารดาร้องไห้โฮเสียงดัง พร้อมกับวิงวอนลูกชายอย่างน่าเวทนา “ดิษ กลับบ้านนะลูก กลับมาอยู่กับแม่ ตอนนี้แม่ไม่มีใครแล้ว แม่อยู่ไปวันๆ อยากฆ่าตัวตายตามไปอยู่กับคุณพ่อของดิษให้รู้แล้วรู้รอดไป”
“คุณแม่อย่านะครับ ได้โปรด...อย่าทำแบบนั้น...”
ดิษกรย์ขอร้องด้วยความตกใจ อยู่ไม่เป็นสุข กังวลและเป็นห่วงกับความคิดของมารดา เพราะเกรงว่าท่านจะคิดสั้นอีกคน
“ดิษรีบกลับมาอยู่กับแม่นะลูก อย่าทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียว”
ไม่ต้องรอให้มารดาเอ่ยขอร้องซ้ำอีกครั้ง ดิษกรย์รีบรับคำอย่างรวดเร็ว
“ครับๆ ผมจะกลับประเทศไทยให้เร็วที่สุด คุณแม่รอผมก่อนนะครับ”
“แม่รอดิษเสมอ” คำตอบของลูกชายทำให้มณีวรรณคลี่ยิ้มออกมาได้บ้าง
“ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ไหนครับ”
ขณะเอ่ยถามมารดา ดิษกรย์ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอน คว้ากระเป๋าเอกสารออกมาค้นหาพาสปอร์ตเพื่อเตรียมตัวกลับประเทศไทย
“แม่เช่าโรงแรมอยู่ เล็กซะยิ่งกว่ารังหนู แถมยังสกปรกด้วย ดิษรีบกลับมาเร็วๆ แม่ทนอยู่ในโรงแรมนี้จะไม่ไหวแล้ว”
“ผมจะกลับบ้านทันทีที่ซื้อตั๋วเครื่องบินได้ ผมขอร้อง...คุณแม่อย่าคิดสั้น อย่าทิ้งผมไปอีกคนนะครับ”
ดิษกรย์อ้อนวอนมารดาอีกครั้ง ในยามนี้เป็นห่วงมารดาจนนึกอยากให้ตัวเองมีอำนาจวิเศษสามารถหายตัวได้ในพริบตาเดียวแล้วอยู่ในประเทศไทยเลย
“กลับมาเร็วๆ นะลูก” มณีวรรณย้ำคำกับลูกชาย ก่อนจะเอ่ยบอกต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาติดอ่อนล้า “ดิษ...แม่เหนื่อย แม่ขอนอนพักก่อนนะลูก”
“ครับ คุณแม่ พักผ่อนเยอะๆ นะครับ รอไม่เกินสองวัน ผมจะกลับไปดูแลคุณแม่เองครับ”
“จ้ะ ลูกรัก แม่รักลูกจ้ะ”
“ผมรักคุณแม่ครับ”
ดิษกรย์เอ่ยบอกพร้อมกับวางโทรศัพท์ลงเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว ชายหนุ่มขบกรามแน่น ยกมือใหญ่ขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง ความรู้สึกผิดยังคงวิ่งวนอยู่ทั่วตัว เขาทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง กระทั่งไม่ได้ติดต่อหาบิดามารดา ไม่ได้ไปแม้กระทั่งงานศพของบุพการี...