ข้ามิใช่ฟ่างเซียนเซียนผู้นั้น : 1
หลังจากผ่านงานเลี้ยงมาได้สามวัน แม่ทัพใหญ่ฟ่างก็จำต้องกลับไปยังค่ายทหารที่ชายแดนเมืองถังเหลียน
"เจ้าแน่ใจว่าไม่ไปเที่ยวเล่นกับพ่อ"
เสวียนสวี่เอ่ยถามบุตรสาวหลังจากชวนนางไปอยู่ที่ค่ายทหารด้วย
แม้จะบอกว่าที่นั่นคือค่ายทหาร ทว่าเป็นถึงค่ายของแม่ทัพใหญ่ทุกอย่างล้วนสะดวกสบายและไม่ขัดสน
"ข้าเพิ่งฟื้น อยากพักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้หน่อย"
เฟิงซูเหยาปฏิเสธเสียงเรียบ
หากให้ตามติดคนผู้นี้ นางย่อมไม่ได้เติมเต็มสิ่งที่อยู่ในแผนการให้สำเร็จเป็นแน่
"ก็จริงของเจ้า แม้ว่าที่ค่ายทหารจะไม่ลำบาก แต่การเดินทางนั้นรำเค็ญ พ่อช่างไม่รอบคอบเสียจริง"
"ท่านพ่ออย่าโทษตนเองเลยเจ้าค่ะ หากข้าฟื้นร่างกายดีแล้วจะไปเยี่ยมท่านแน่นอน"
"เหตุใดครั้งนี้ลูกสาวข้าถึงได้ดูอาจหาญกล้าตอบโต้เสียงดังฟังชัดเช่นนี้"
เสวียนสวี่ตอบกลับอย่างหยอกล้อ เขารู้สึกชอบนิสัยบุตรสาวในเวลานี้มากกว่าเมื่อก่อน
"อาจเพราะการได้ตายมาแล้วครั้งหนึ่งทำให้ข้าเข้มแข็งขึ้น"
เฟิงซูเหยาเอ่ยเสียงแผ่วหากแต่แววตากลับดุดัน
"อาจจะใช่ ครั้งนี้สำหรับเจ้าแล้วคงเรียกว่าผ่านความตายมาแล้ว"
เพราะที่ผ่านมาอาการนางกำเริบไม่เคยเกินเวลาจิบชา(ประมาณ 5 นาที) ย่อมไม่นับว่าคือการผ่านความตาย
"สายแล้ว ท่านพ่อเร่งเดินทางเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงข้า"
เสวียนสวี่เอื้อมมือลูบผมบุตรสาวอย่างทะนุถนอม ในสายตาของเขาช่างอบอุ่นผิดจากเวลามองเจินเม่ยราวฟ้ากับเหว ทำให้คนที่หลบมุมมองสองพ่อลูกหยอกล้อกันอย่างอบอุ่นฝังความชิงชังไว้ในอก รอเวลาให้เจ้าของจวนก้าวออกจากประตูไปค่อยระบายออกมา
"ฮูหยินรองกับเม่ยเอ๋อร์คงแต่งตัวยังไม่เสร็จ พ่อฝากเจ้าบอกลาพวกนางแทนด้วยแล้วกัน"
"เจ้าค่ะ เดินทางปลอดภัย"
เสวียนสวี่ส่งยิ้มให้บุตรสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ตามมาด้วยการส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเคลื่อนกำลังกลับยังค่ายทหารเพื่อทำหน้าที่รักษาชายแดนถังเหลียนต่อ
ครั้นตรงนี้ไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว เฟิงซูเหยาจึงเตรียมกลับไปยังเรือนหลานฮวาของตนเอง สายตาเฉียบคมเห็นสิ่งผิดปกติรออยู่ตรงหน้าจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น อยากรู้นักว่าใครกันที่หลบมุมอยู่ตรงนั้นและคนผู้นั้นต้องการอะไร
นางจึงสาวเท้าเดินทำตัวปกติ เมื่อถึงมุมที่ต้องเลี้ยวเห็นปลายรองเท้าโผล่ออกมาเพื่อหวังให้นางสะดุดล้ม
เฟิงซูเหยาขำขันในใจกับการกลั่นแกล้งวิธีซ้ำซากทั่วไปของพวกนางร้ายขี้อิจฉาจึงแสร้งตามน้ำเดินสะดุดขาเจินเม่ยพร้อมกับ...
หมับ!
ตุบ!
"โอ้ย!"
เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังลั่น เฟิงซูเหยาที่ถูกขวางทางมิได้ล้มตึงลงตามที่ใจคนกลั่นแกล้งปรารถนา หากแต่เป็นเจินเม่ยที่ถูกเฟิงซูเหยาแสร้งเสียหลักแล้วผลักจนล้มลงไปกองที่พื้นแทน
"คุณหนู!"
"เม่ยเอ๋อร์"
เสียงผู้มาสมทบทั้งสองคนต่างเรียกหาคนของตนเอง
เจินซู่ปรี่เข้าไปช่วยพยุงบุตรสาวลุกขึ้นจากพื้นแข็ง ๆ แถมเย็นยะเยือก ส่วนอาถังเข้าไปจับตามเนื้อตัวคุณหนูสามของนางว่าบาดเจ็บส่วนใดหรือไม่อย่างเป็นห่วง
"เจ้ากล้าแกล้งข้า!"
ทันทีที่ถูกมารดาช่วยขึ้นมาจากพื้น มือเรียวกรีดนิ้วชี้หน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยความเกรี้ยวกราด
"ข้าเปล่าแกล้งท่าน เมื่อครู่ข้าเห็นเหมือนมีเท้าของสัตว์โผล่ออกมาเลยตกใจ ใครจะรู้ว่านั่นคือพี่รองที่แอบอยู่ตรงหัวมุม"
เฟิงซูเหยาแกล้งหลบตาในใจกลั้นขำหลังเฉไฉเสร็จ
"เจ้าหาว่าเท้าอันเรียวสวยของข้าคือเท้าของสัตว์งั้นรึ!"
เจินเม่ยสั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมโทสะมิได้
นางทั้งกระทืบเท้าทั้งกรีดร้องจนคนที่อยู่บริเวณนั้นต้องยกมืออุดหู
"ข้าเห็นว่าเป็นเท้าของสัตว์จริง ๆ นะเจ้าค่ะ"
ยิ่งตอบโต้ ซูเหยายิ่งรู้สึกสะใจ
ความทรงจำของฟ่างเซียนเซียนที่ผุดขึ้นมาให้นางเห็นเรือนลาง บ่งบอกว่าสองแม่ลูกนี้ทำเลวทรามกับเจ้าของร่างที่นางอยู่ตอนนี้มากเพียงไหน แผลเป็นที่ติดอยู่บนร่างกายนี้เป็นเครื่องยืนยันชิ้นดีว่าฟ่างเซียนเซียนผู้นั้นถูกทุบตีทรมานอย่างน่าเวทนายิ่ง