ข้ามิใช่ฟ่างเซียนเซียนผู้นั้น : 2
"เจ้าบอกว่าเห็นเป็นเท้าสัตว์ สัตว์ชนิดใดกันที่สวมใส่รองเท้าปักลวดลายสวยงามเช่นนี้!"
เจินซู่เค้นเอาความจากลูกเลี้ยงที่วันนี้มาแปลกพิกล สายตาที่นางจ้องทั้งสองคนช่างแตกต่างจากฟ่างเซียนเซียนก่อนจะสิ้นใจราวคนละคน
นางผู้นั้นรึจะกล้าสู้สายตากับสองแม่ลูกนี้ แค่ได้ยินเสียงเจินเม่ย ฟ่างเซียนเซียนคนเดิมก็ตัวสั่นน้ำตาเล็ดแล้ว
"ฮูหยินรองอยากรู้หรือเจ้าคะว่าเมื่อสักครู่ข้าเห็นเท้าของสัตว์ใด"
เสียงกวนโทสะนั้นยิ่งทำให้คนถูกยั่วโมโหเลือดลมขึ้นหน้า อยากจะลากซูเหยามาลงไม้ลงมือให้หายแค้นเช่นทุกครั้ง
คราวก่อนในงานเลี้ยงเรื่องที่นางใส่สีโปรดของเจินซู่นางก็ยังมิได้จัดการเอาความ ทว่าเวลาสบตากับสายตารัตติกาลคู่นั้นแล้ว ทั้งเจินซู่และเจินเม่ยกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงข้างในทรวง สัญชาตญาณบางอย่างบอกพวกนางว่าหากรังแกคนตรงหน้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
"งั้นเซียนเอ๋อร์เฉลยเลยแล้วกัน เพราะสมองที่ใหญ่โตของพวกท่านคงนึกไม่ออก"
สองแม่ลูกยังคงกอดกันเกรียวไม่มีใครเอะใจว่าซูเหยาหลอกด่าพวกนางว่าสมองกลวง
"เท้าของสัตว์ที่เซียนเอ๋อร์เห็นคือเท้าของงูเจ้าค่ะ เป็นงูพิษที่ชอบแว้งกัดคนกันเอง"
พูดจบซูเหยาก็หันหลังเดินกลับเรือนหลานฮวาพร้อมอาถังสาวรับใช้อย่างไม่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กับสองแม่ลูกคู่นี้
"งู... ท่านแม่ งูมีขาด้วยหรือเจ้าคะ"
เจินเม่ยเอ่ยถามมารดาด้วยเสียงใคร่สงสัย
"โอ้ย! เจ้าสมองช้าตั้งแต่เมื่อใดกัน นางหลอกด่าพวกเราว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ!"
เจินซู่ฟึดฟัดด้วยความโมโหที่ถูกหลอกด่าซึ่ง ๆ หน้า
การตื่นมาของฟ่างเซียนเซียนในครั้งนี้แปลกไปอย่างมาก ทั้งวาจาสามหาวขึ้นหลายเท่า ไหนเลยจะแววตาที่ดุดันมิเกรงกลัวสิ่งใดคู่นั้นก็เปลี่ยนไปตาม แถมชอบทำอะไรที่ไม่เคยกล้าทำอย่างเช่นสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงฉูดฉาดสีโปรดของเจินซู่เดินรอบจวนนั่นอีก
"กรี๊ด!!"
เจินเม่ยเหมือนเพิ่งได้สติ นางกรีดร้องออกมาจนแทบจะดังไกลเป็นพันลี้
"ฟ่างเซียนเซียน! เจ้าจะต้องถูกข้าเอาคืนอย่างสาสม!"
เจินเม่ยกระทืบเท้าระบายอารมณ์ ค่อย ๆ เดินอย่างทุลักทุเลลูบบั้นท้ายที่ล้มกระแทกพื้นตามมารดากลับเรือนพักตนไป
"คุณหนูทำได้เยี่ยงไรเจ้าคะ"
หลังจากกลับถึงห้องนอนแล้ว อาถังถามคุณหนูนางถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
"ทำอะไร"
ซูเหยาหยิบถ้วยน้ำชาที่สาวรับใช้รินส่งให้ขึ้นมาจิบแก้กระหาย
"ก็ที่คุณหนูต่อปากต่อคำกับฮูหยินรองและคุณหนูเจินเม่ยไงเจ้าคะ"
รอยยิ้มบาง ๆ ยกขึ้นตรงมุมปากพลางเอ่ย
"เมื่อก่อนข้าคงดูอ่อนแอมากสินะ"
ฟ่างเซียนเซียนหนอฟ่างเซียนเซียน เจ้าเกิดมาในตระกูลร่ำรวย ได้รับไออุ่นจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่เหตุใดถึงได้โชคร้ายที่ต้องอยู่ร่วมชายคากับมนุษย์โสโครกจิตใจสกปรกหยาบช้ากว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างสองแม่ลูกนั่น
"เหตุใดคุณหนูต้องดูถูกตนเองด้วยเจ้าคะ ในสายตาของบ่าว คุณหนูมิได้อ่อนแอเลย เพียงแค่ท่านจิตใจดีมากจนเกินไปจนผู้อื่นใช้ประโยชน์จากตรงนั้นย้อนทำร้ายตัวท่านเอง"
อาถังพรั่งพรูทุกอย่างออกมาจากใจ
นางอยู่รับใช้ข้างกายฟ่างเซียนเซียนตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ กินนอนด้วยกันตั้งแต่ฟ่าเซียนเซียนยังเด็กย่อมรู้จิตใจคุณหนูของนางดีว่าจิตใจดีมีเมตตาเช่นไรบ้าง
"เจ้าไม่ต้องห่วง ต่อไปนี้ข้ามิใช่ฟ่างเซียนเซียนคุณหนูอ่อนแอผู้นั้นของเจ้าอีกต่อไป"
'เพราะข้าคือเฟิงซูเหยา ผู้ที่สวรรค์ส่งกลับมาลงทัณฑ์คนโฉดชั่วพวกนั้น'
"คุณหนูต้องระวังตัวนะเจ้าคะ วันนี้ฮูหยินรองกับคุณหนูเจินเม่ยเสียหน้ามาก ข้ากลัวว่าพวกนางจะต้องกลับมาเอาคืนคุณหนูไม่ช้าก็เร็วเจ้าค่ะ"
อาถังหวั่นใจเหลือเกิน วันนี้คุณหนูนางอาจจะรับมือได้ แต่วันหน้าใครจะไปรู้ว่าคนบอบบางเช่นคุณหนูสามจะรับมือสองแม่ลูกนั้นได้อีกหรือเปล่า
"ต่อให้มีสองแม่ลูกนั้นมาเป็นสิบร่าง ข้าก็จะเอาคืนอย่างสาสม"
ประโยคนี้ของซูเหยาทำเอาอาถังขนลุกราวอยู่ในฤดูเหมันต์ที่หนาวเหน็บ
สาวรับใช้คนสนิทข้างกายมิชวนคุยต่อเพราะเห็นเฟิงซูเหยากำลังตั้งใจทานของว่างตรงหน้าอย่างสำราญใจ
วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมเย็น ๆ พัดโชยมาพร้อมกลิ่นมวลดอกไม้นานาชนิดที่อยู่ใน 'สวนสำราญใจ' สวนที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในจวนฟ่าง
เฟิงซูเหยายืนเหม่อมองไปด้านหน้าอย่างใจเหม่อลอย คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาสองวันนี้ที่เกิดขึ้นกับตน
ด้วยความอยากรู้ว่าการกลับมาเกิดใหม่ในร่างนี้มาเพียงแค่ดวงวิญญาณหรือความสามารถที่มีชาติก่อนก็ติดตัวมาด้วย จึงได้ลองโคจรลมปราณดู ทว่าทุกครั้งที่นางลองขับลมปราณเพื่อเรียกใช้กำลังภายในอุปสรรคใหญ่หลวงที่คอยขัดขวางนางคือหัวใจดวงนี้มักจะเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ
"ไม่ใช่โรคของนางผู้นี้แน่"
เสียงพึมพำกับตนเองดังขึ้น
แม้ไม่เคยเป็นโรคหัวใจอ่อนแอมาก่อน แต่นางมั่นใจว่าอาการเจ็บแปลบที่หน้าอกมิใช่อาการโรคร้ายกำเริบ หากแต่เป็นความเจ็บปวดที่นางเป็นคนฝังมีดเล่มนั้นลงลึกสุดขั้วหัวใจในชาติที่แล้ว
"คุณหนูคิดอันใดอยู่เจ้าคะ"
อาถังวางข้าวของกระจุกกระจิกที่ต้องนำมาที่นี่ทุกครั้งยามคุณหนูนางมาพักผ่อน
"นั่นอะไร"
เฟิงซูเหยามองข้าวของที่อาถังเพิ่งนำมาโดยไม่ใส่ใจจะตอบคำถามสาวใช้
"ถุงเครื่องหอมไงเจ้าคะ"
เฟิงซูเหยารู้ว่านั่นคือถุงเครื่องหอม แต่นางแค่ไม่เข้าใจเหตุใดสาวรับใช้นางนี้ถึงได้เอามาวางไว้ที่นี่ หรือว่าอาถังจะเอามาปักเพื่อฆ่าเวลาตอนที่รอนางชื่นชมดอกไม้
"คุณหนูต้องเร่งมือแล้วนะเจ้าคะอีกไม่กี่วันจะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพองค์ชายสามแล้ว"
"องค์ชายสาม?"
"คุณหนูมิต้องเขินอายเจ้าค่ะ อาถังอยู่ข้างคุณหนูและสนับสนุนคุณหนูเรื่ององค์ชายสาม"
ในสายตาของอาถัง หากฟ่างเซียนเซียนกับองค์ชายอี้เฟยได้ครองคู่กันจริงถือว่าสวรรค์เมตตา ชีวิตที่เคยถูกรังแกจากสองแม่ลูกนั้นจะได้มีคนคอยปกป้องสักที
'เหตุใดอาถังถึงได้พูดเหมือนว่าแม่นางฟ่างผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับองค์ชายสามกัน'
"เจ้าหมายถึงองค์ชายสามถังอี้เฟยที่ถูกเนรเทศออกจากวังหลวงตั้งแต่ลืมตาเกิด"
ใบหน้าหวานของสาวรับใช้เอียงอย่างใคร่สงสัยเล็กน้อย เหตุใดสายตาของคุณหนูยามพูดถึงชายที่แอบมีใจจึงดูว่างเปล่าเช่นนั้น ไม่เห็นเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยชื่อชายในดวงใจออกมาพวงแก้มจะเปลี่ยนสีทันที
"มิใช่ว่าคุณหนูลืมองค์ชายสามแล้วนะเจ้าคะ" อาถังถามตามเนื้อผ้าที่เฟิงซูเหยาแสดงออก
สตรีที่ถูกถามจู่ ๆ ก็เกิดเห็นความทรงจำบางอย่างของฟ่างเซียนเซียนผุดขึ้นมา
'ข้าจะปักถุงเครื่องหอมนี้เป็นเครื่องบรรณาการวันพระราชสมภพองค์ชายอี้เฟย'
"ถุงเครื่องหอมนี้คือของขวัญวันสำคัญนั้นขององค์ชายอี้เฟย"
เฟิงซูเหยาขยับปากพูดตามสิ่งที่นางเห็นในความทรงจำเมื่อครู่
"คุณหนูมิได้ลืมองค์ชายสามจริง ๆ ด้วย"
อาถังดีใจที่อย่างน้อยคุณหนูก็ไม่ลืมความรักของนาง แม้จะเป็นความรู้สึกรักข้างเดียวก็ตาม
"เช่นนั้นก็ดี เจ้าเร่งเย็บปักที่เหลือให้เสร็จ อีกสามวันเราจะเดินทางไปพบท่านพ่อที่ค่ายทหาร"
เฟิงซูเหยาแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
นับว่าสวรรค์เมตตานางเสียจริงที่ให้มาเกิดใหม่ในร่างสตรีนางนี้ อย่างน้อยการแก้แค้นของนางก็ทำได้ง่ายขึ้น
"เดี๋ยวสิเจ้าคะคุณหนู ของสิ่งนี้คุณหนูต้องทำเองนะเจ้าคะ"
เฟิงซูเหยามิได้สนใจเสียงรั้งของสาวใช้ นางเร่งเดินกลับมาที่ห้องนอนเพื่อนั่งสมาธิฝึกเดินลมปราณต่อไป