Chapter 5 ครอบครัว=ความวุ่นวาย
“ไงมึง” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานเอ่ยทักพร้อมเหลือบมองผู้มาเยือนเล็กน้อย ก่อนจะพิมพ์ข้อความที่ค้างไว้ต่อจนเสร็จแล้วกดส่งทางไลน์ จากนั้นจึงเงยหน้ามองร่างสูงซึ่งกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างคนหมดแรง
“เหนื่อยว่ะ” คำสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายทำให้คนฟังถึงกับมองด้วยความเห็นใจ รามิลรู้ดีว่าช่วงนี้เพื่อนของเขาต้องเผชิญปัญหาอะไรบ้าง
ศิลา หนุ่มหล่อหน้าตาดีผู้มีผมสีไวน์แดงเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเสน่ห์ที่สุดแสนจะแพรวพราวทำให้สาวๆ ต่างก็อยากเข้าหา แต่ถึงอย่างนั้นศิลากลับสละโสดเป็นคนแรกของกลุ่มไปเมื่อเจ็ดปีก่อน แม้การแต่งงานจะเริ่มต้นจากความต้องการของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยขัดเพราะตัวเจ้าสาวเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่รู้จักนิสัยใจคอกันดี
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยเชื่อคำพูดที่ว่า อยู่ๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง กระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวเขาซึ่งดันตกหลุมรักภรรยาตัวเองในอีกสองปีต่อมาหลังจากแต่งงาน ซึ่งภรรยาที่ว่าก็คืออลิสานั่นเอง
"ทะเลาะกับเมียอีกล่ะสิ" รามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม ถึงแม้เขาจะรับรู้เรื่องราวเกือบทุกอย่างระหว่างความสัมพันธ์ของคู่นี้ แต่ก็พยายามไม่เข้าไปก้าวก่ายอะไรมาก
"อืม"
"แต่ถึงยังไง ตอนนี้มึงก็ควรอยู่กับอลิส"
"จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเธอมองกูเป็นอากาศไปแล้ว"
"แต่อากาศก็เป็นสิ่งที่คนเราขาดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
คนกำลังมีปัญหาถึงกับชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่ไม่ต่างจากคำคมบนโลกโซเชียล ซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสร้างอารมณ์ขันให้หรือแค่ไปจำจากใครมาแล้วพูดให้ฟังเฉยๆ
“มึงเอาอะไรพวกนี้มาจากไหน”
คนถูกถามใช้ความเงียบแทนคำตอบ อันที่จริงเขามักจะเห็นพวกคำคมหรือมุกเสี่ยวๆ ผ่านตามาจากแคปชั่นบนรูปภาพของวันวิวาห์ซึ่งตอนนี้คนที่เขานึกถึงก็ไม่สามารถติดต่อได้และไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหน
“กูว่ามึงกลับไปทำหน้าที่ผัวที่ดีเถอะ” รามิลทำทีเบี่ยงประเด็นวกกลับเข้าเรื่องของเพื่อนต่อ
“ในสายตาอลิส กูห่างไกลคำนั้นไปแล้วว่ะ” ศิลาแค่นหัวเราะออกมาราวกับเย้ยหยันตัวเองอยู่ในที
"แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของมึงนี่"
“…”
“ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น” รามิลยังคงเอ่ยยืนยันเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"แต่นั่นลูกกูทั้งคนเลยนะเว้ย” ครั้นพูดถึงเรื่องนี้แววตาของศิลากลับวูบไหวจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ คนไม่เคยมีครอบครัวหรือมีลูกอย่างรามิลจึงทำได้เพียงสงบปากสงบคำแล้วเลือกที่จะนั่งเป็นผู้ฟังที่ดีแทน
“แต่ก็น่าแปลกที่คนเป็นแม่กลับไม่มีน้ำตาสักหยด อย่างกับไม่รู้สึกอะไร กูเชื่อเลยว่ะ” ศิลาหวนนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นภรรยาที่มักจะเรียบเฉยทุกครั้งเวลาต้องพูดคุยกับเขา อาจจะเพราะปัญหาระหองระแหงก่อนหน้านี้ด้วย หรือแม้แต่วันที่รู้ข่าวร้ายเรื่องลูกก็ตาม อลิสาต้องยุติการตั้งครรภ์อย่างไม่มีทางเลือกเนื่องจากทารกในครรภ์หัวใจหยุดเต้น
“…”
ศิลาทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเหม่อลอย ความเงียบเข้าปกคลุมบุคคลทั้งสองจนชวนให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทางด้านรามิลก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและได้แต่ลอบมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
แต่แล้วประตูห้องทำงานที่ถูกผลักเข้ามาจากฝีมือของใครบางคน ตามด้วยน้ำเสียงอันเจื้อยแจ้วเป็นเหมือนระฆังช่วยชีวิตให้สถานการณ์ตึงเครียดกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
“ลุงศิ ลุงมิลคร๊าบ ทะเลมาแย้ว”
ทะเล หนุ่มน้อยวัยห้าขวบเศษที่ยังคงอยู่ในชุดนักเรียนรีบปรี่เข้าไปหาเจ้าของชื่อแล้วสวมกอดทีละคนด้วยท่าทางออดอ้อน โดยมีบิดาเดินตามหลังเข้ามาพร้อมกระเป๋านักเรียนใบเล็ก
“อะไรกัน เรียกชื่อลุงคนแรก แต่กลับไปกอดอีกคนก่อน” ศิลาพยายามปั้นสีหน้าให้ปกติที่สุดแล้วทำทีน้อยอกน้อยใจหลาน
“ก็ลุงมิลสัญญาไว้ว่าจะซื้อโมเดลให้ทะเลนี่ครับ เลยต้องอ้อนกันหน่อย” ใบหน้าหวานละมุนที่ถอดแบบบิดามาอย่างไม่ผิดเพี้ยนระบายรอยยิ้มสดใสแล้วเลือกที่จะนั่งบนตักของรามิล
“ซื้อของเล่นให้หลานอีกแล้วนะมึง”
เตกุณช์ Single dad สุดฮ็อต เจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ที่มีบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ต่างเข้าหาผ่านลูกชายซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่เคยมีใครสามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้เลย ภรรยาของเขาเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดบุตรชายซึ่งก็คือ หนูน้อยทะเล และตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาเขาก็ทำทุกอย่างที่เคยสัญญาไว้กับเธอได้เป็นอย่างดีเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้
“ก็ทะเลของลุงอยากได้ จะขัดยังไงไหว ใช่มั้ยครับ” รามิลมองหน้าคนที่นั่งอยู่บนตักพร้อมขยิบตาส่งให้หนึ่งที จนอีกฝ่ายถึงกับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ทีหลังมึงก็ซื้อบ้านให้ลูกกูด้วยสิ ไว้เก็บของเล่น” คนเป็นพ่อเอ่ยอย่างประชดประชัน แต่อีกฝ่ายกลับทำทีเป็นจริงจังขึ้นมาจนน่าหมั่นไส้
"ไปดูบ้านกันเลยมั้ยล่ะ"
"ไอ้รวย!" เตกุณช์กำลังจะพ่นคำด่าที่หยาบคายกว่านั้นออกมา แต่กลับยั้งไว้ทันเมื่อลูกน้อยหันมอง
“แล้วทะเลไม่อยากได้ของเล่นจากลุงบ้างเหรอครับ" ศิลาลองเชิงถาม ถึงแม้จะรู้ดีว่าหลานคนนี้ชอบออดอ้อนให้พาไปเที่ยวที่คลับเป็นครั้งคราว แต่ทุกอย่างก็ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่
“ลุงศิสัญญากับทะเลแล้วนี่ครับว่าจะให้อุ้มน้อง” เด็กน้อยเตือนความจำของอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงน้องที่จะมาเป็นเพื่อนเล่นของตัวเอง
สามหนุ่มที่นั่งฟังอยู่ถึงกับเงียบกริบไม่รู้ว่าจะอธิบายเด็กน้อยอย่างไรดีที่จะไม่ทำให้แกเสียใจมากนัก
“เมื่อไหร่น้องจะมาเล่นด้วยกันครับ ทะเลเหงาจะแย่แล้ว”
“ทะเลครับ ลูกไปนั่งทำการบ้านให้เสร็จก่อนดีกว่า กลับถึงบ้านเราจะได้ดูหนังกัน โอเคมั้ย?” เตกุณช์เอ่ยบอกลูกชายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เขาคิดว่าไว้ค่อยหาโอกาสอธิบายเรื่องนี้ให้ลูกชายเข้าใจ จึงเดินนำไปที่โต๊ะทำงานของรามิล จัดแจงทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินกลับมาหาเพื่อนทั้งสอง โดยมีทะเลนั่งทำการบ้านของตัวเองไปเงียบๆ
“หมอให้อลิสกลับบ้านวันไหน” เตกุณช์หันไปถามศิลาขณะที่ตัวเองกำลังนั่งลง
“มะรืน”
“…” "..."
“เฮ้ย พวกมึงไม่ต้องมองหน้ากูแบบนั้น กูโอเคแล้ว” ศิลาเอ่ยบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเหมือนว่าปกติที่สุด
"ไม่มีใครจะโอเคกับเรื่องแบบนี้หรอก แล้วมันก็ไม่แปลกด้วยที่มึงจะรู้สึกแย่" เตกุณช์ซึ่งเคยอยู่ในสถานะสามีที่สูญเสียภรรยา และในฐานะพ่อที่รู้ว่าลูกคือทุกอย่างในชีวิตเอ่ยกับอีกฝ่าย
ศิลามองใบหน้าของเพื่อนทั้งสองสลับกัน เขารับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ส่งผ่านมาเป็นอย่างดี ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างพยายามผ่อนคลาย
“อลิสเองก็เสียใจไม่แพ้มึงหรอก” รามิลเอ่ยออกมาบ้าง หลังจากที่เงียบอยู่นาน
"ปัญหาครอบครัวมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มึงก็น่าจะรู้ อีกอย่างถ้าไม่อยากเสียอลิสไปอีกคน ก็ลดความเป็นตัวตนลงมาแล้วปรับความเข้าใจกันเถอะ" คุณพ่อลูกหนึ่งให้คำแนะนำจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเอง
รามิลที่ไม่เคยมีประสบการณ์พวกนี้และไม่เคยคิดที่จะมีกลับเป็นฝ่ายนั่งฟังอย่างตั้งใจด้วยความลืมตัว เขานึกภาพตัวเองตอนมีครอบครัวไม่ออก แต่มั่นใจได้เลยว่า มันจะต้องวุ่นวายอย่างแน่นอนและเขาไม่ชอบอะไรแบบนั้น
ศิลานั่งนิ่งราวกับคิดทบทวนอะไรบางอย่างในใจ กระทั่งเวลาผ่านไปอีกสักพัก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะต่อสายหาใครบางคน
“อลิสเป็นไงบ้าง”
“ว่าไงนะ!”
“แล้วทำไมถึงไม่โทรมาบอกกู”
“พวกมึงทำงานให้ใครกันแน่ เดี๋ยวกูแม่งไล่ออกให้หมด”
ท่าทางฉุนเฉียวของศิลาเรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งสอง และเป็นรามิลที่เอ่ยถามออกมา
“มีเรื่องไรวะ”
คนถูกถามก้มหน้าง่วนกับจอโทรศัพท์เพื่อกดเข้าดูกล้องวงจรปิดภายในคลับ และเห็นว่าคนที่ทำให้เขาเกิดอารมณ์แบบนี้กำลังยืนบริเวณหน้าเวที และด้านบนก็มีผู้หญิงอีกคนกำลังวุ่นอยู่กับอุปกรณ์เครื่องเสียงของร้าน
“นี่วีว่ารึเปล่า” ศิลาที่คุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่ายเอ่ยถามพร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือให้รามิล
"อยู่นี่เองสินะ" คนที่พยายามติดต่อเธออยู่หลายครั้งถึงกับลอบกัดฟันกรอด
“อย่าบอกนะว่า เมียมึงหนีออกมาทำงาน” เตกุณช์รู้ดีว่าอลิสาเป็นคนยังไง แต่ก็ไม่คิดว่าจะบ้าบิ่นถึงขนาดนั้นทั้งๆ ที่ร่างกายตัวเองยังไม่แข็งแรง
"..." ความเงียบของศิลาทำให้คุณพ่อลูกหนึ่งที่เพิ่งให้คำแนะนำไปถึงกับรีบปราม
"กูให้มึงเคลียร์เพื่อดีกัน ไม่ใช่ตีกันนะเว้ย"
"กูจะพยายาม" ศิลาตอบรับเสียงเย็น แต่คนที่ลุกพรวดยืนขึ้นกลับเป็นอีกคนที่ค่อนข้างสร้างความมึนงงให้กับเตกุณช์
"มึงจะไปเลยมั้ย" รามิลหันไปถามเจ้าของคลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งรวมถึงสีหน้าเรียบเฉย แต่ใครจะไปรู้ว่าลึกๆ แล้วเขากำลังรู้สึกอย่างไร
"ไป" ศิลาลุกขึ้นยืนอย่างคนเตรียมความพร้อม ซึ่งก็เข้าใจได้ว่ากำลังจะไปหาภรรยา แต่อีกคนนี่สิ...
"ไอ้ศิมันไปหาเมีย แล้วมึงไปหาใคร?"
"กูเหรอ?" รามิลกระตุกรอยยิ้มร้ายกาจมองหน้าคนถาม ก่อนจะเอ่ยออกมาทีเล่นทีจริง
"ไปจัดการเด็กที่มันดื้อ..."