Chapter 8
ที่ห้องประชุมใหญ่ของหน่วยรบ SAS เหล่าสมาชิกจากทีมดาร์คเนสวอริเออร์ ทีมอีวิลลอร์ดแฟนธ่อม และทีมเดวิลแบ๊ทส์ ต่างมารวมพลเพื่อฟังคำชี้แจ้งจากผบ.หยางเจี้ยนหลง ซึ่งทุกคนก็รู้กันดีอยู่แล้วว่ามันคงเป็นเรื่องที่จักรวรรดิเปรเซียร์ ประกาศทำสงครามกับประเทศแพนธีออน ล่าสุดที่ได้ยินมาจากทีมอัลฟ่าที่พึ่งกลับมาจากภารกิจรับตัว VIP ข่าวลือเรื่องความลับที่จักรพรรดิเคลมองต์ ไม่ต้องการให้ชาวโลกรับรู้นั้นสร้างความสนใจให้กับใครหลายคน จึงคาดเดาไปต่างๆนาๆมากมายว่าเป็นเรื่องอะไร
ระหว่างที่รอผบ.มาเหล่าทหารรุ่นพี่ต่างก็ช่วยกัน จัดระเบียงให้กับทหารรุ่นน้องให้นั่งเป็นระเบียบ โดยจะให้ทหารสมาชิกใหม่นั่งอยู่หลังสุด เสียงพูดคุยยังคงดังไม่ขาดสายจนกระทั่งผบ.หยางเจี้ยนหลงเดินเข้ามา ทุกคนในต่างยืนทำความเคารพต่อผู้บัญชาการแห่งหน่วยรบ SAS และตำแหน่งเทพสงคราม หลังทำความเคารพแล้วจึงพากันนั่งตามเดิมและตั้งใจฟัง เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้วด้านผบ.หยางเจี้ยนหลงก็หันไปสั่งให้ ผู้พันยอนแฮจุนเปิดโปรแกรมฉายภาพสี่มิติเป็นแผ่นที่กลยุทธ์
สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าไม่สู้ดีนัก เนื่องจากว่ากองทัพอันเกรียงไกรของจักรวรรดิเปรเซียร์ รุกคืบเข้ามายังเขตเมืองอุมเบเรียได้สำเร็จหลังจากที่ยึดแคว้นเนเรีย ตอนนี้ทางแพนธีออนส่งกองพันที่ 3 ซึ่งมี 2 กองร้อยถูกส่งไปตรึงกำลังที่นั้น โดยทางรัฐบาลของแพนธีออนได้ขอใช้บริการ กองทัพจากฝ่ายฟรอนร์เทียร์เข้าไปช่วยซึ่ง จอมพลอาร์นี่ ได้อนุมัติภารกิจให้หน่วยรบ SAS และหน่วยรบฟินิกซ์ ร่วมรบกับกองร้อย 1จากกองพันทหารราบที่ 2 และกองร้อย W จากกองพันฟินิกซ์รบที่แพนธีออน
หลังจากเสร็จประชุมแล้วให้หัวหน้าของทั้งสามทีม ชี้แจ้งรายชื่อทหารที่จะได้รบที่เมืองอุมเบเรีย และก่อนที่ผบ.หยางเจี้ยนหลงจะเดินออก ก็หันมากล่าวอวยพรขอให้โชคดีและกลับมาบ้านด้วยกัน แน่นอนว่าคนที่เขาหมายถึงก็ร่วมถึงน้องๆสายเลือดเดียวกัน ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ด้วยเมื่อกล่าวอวยพรเสร็จก็เดินจากไป ริชาร์ดส่งสายตาให้มาคัสมาทำหน้าที่แทนด้วยการบอกให้สมาชิกทีมดาร์คเนสสวอริเออร์ไปรวมพลที่สนามเพลาะจำลอง
ส่วนฟรานซิสได้เรียกให้ทีมอีวิลลอร์ดแฟนธ่อม ไปรวมพลกันในห้องนี้พร้อมกับหันไปให้โจนัสนำรายชื่อออกมา สำหรับทีมเดวิลแบ๊ทส์โดนเรียกรวมพลที่สนามฝึกภาคสนาม ระหว่างที่ทั้งสามทีมกำลังชัดแจ้งรายชื่อคนที่จะโดนส่งไปรบ ผบ.หยางเจี้ยนหลงก็ตรงไปยังห้องประชุมอีกห้องหนึ่ง ซึ่งจะเป็นห้องประชุมสำหรับทหารยศนายพันขึ้นไปเท่านั้น แต่ละคนมีแฟ้มรายงานอยู่ในมือกันหมดเพื่อความพร้อมต่อการประชุม ผบ.หยางเจี้ยนหลงมาถีงเก้าอี้และการประชุมก็เริ่มขึ้น
"ผู้พันวีร่า เรื่องนักข่าวคนนั่นที่ทีมอัลฟ่ามารับตัวมาเป็นยังไงบ้าง" ผบ.หนุ่มหันมาถามทหารหญิงยศนายพันที่อยู่ซ้ายมือ
"ตอนนี้เขาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารแล้วคะ แต่กว่าเขาจะพื้นคงจะใช้เวลาหน่อย" ผู้พันวีร่าตอบ
"หมอได้ระบุไหมว่าสาเหตุเพราะอะไร" ผบ.หยางเจี้ยนหลงถามต่อ
"สาเหตุเพราะชลชาติมีอาการติดเชื้อจากพิษบาดแผล และมีอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลียที่สะสมมา ร่างกายเลยปิดการทำงานเพื่อทำการพักพื้นตัวเองคะ" ผู้พันวีร่าอธิบาย
ผบ.หยางเจี้ยนหลุนนิ่งไปครู่หนึ่งดูเหมือนว่าความลับ ที่นักข่าวคนนี้ได้มาคงจะสำคัญมากๆถึงขนาด ยอมส่งทหารเอสเอสมาเป็นกองร้อย เพื่อไล่ล่าคนๆเดียวแต่ปัญหาก็คือ SD การ์ดและบันทึกต่างๆ ไม่ได้อยู่ในตัวของกล้องถ่ายรูป หรือเทปบันทึกเสียงก็ว่างเปล่า ซึ่งผู้พันยอนแฮจุนรายงานว่าได้ทำการค้นตัวของชลชาติแล้ว ร่วมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็ไม่มีอะไรสะดุดตา หมวดกรานิตจึงสันนิฐานว่าชลชาติอาจนำมันไปซ่อนไว้ ซ่อนให้ห่างจากตัวเขาระหว่างที่กำลังโดนไล่ล่า
สักพัก "นาวาอากาศเอกเอ็ดเวิร์ด" ก็เสนอวิธีด้วยการ ให้ทหารพลังจิตอ่านความทรงจำของชลชาติ เพื่อทำการค้นหาว่านักข่าวคนนี้เก็บ SD การ์ดกับเทปบันทึกไว้ที่ไหน ทว่าถูก "นาวาเอกชัยชาญ" คัดค้านขึ้นมาเพราะตนเคยเป็นเสนารักษ์ จึงรู้ดีว่าสภาพของชลชาติมีความเสี่ยงต่อสมองอย่างมาก หากจะใช้พลังจิตเค้นความทรงจำแบบนั้น ร้ายแรงสุดคือสมองตายไม่ทำงานก็เท่ากับฆ่าเขาตายจึงไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้
"แล้วเจ้านายของชลชาติละ พอมีเบาะแสอะไรให้พวกเราบ้าง" ผบ.หยางเจี้ยนหลงหันไปถาม "พลตรีหยางเฉิน" น้องชายแท้ๆของเขาที่พึ่งเลื่อนยศไม่ได้ ร่วมทั้งตำแหน่งวอร์ดลอร์ดด้วย
"เท่าที่ทางเราสอบสวนนายโยเซฟเพิ่มเติม และให้ทหารพลังจิตตรวจสอบแล้วเขาก็ไม่รู้ว่า ชลชาติซ่อน SD การ์ดกับเทปไว้ที่ไหนเหมือนกันครับ" นายพลหยางเฉินตอบ
"งั้นเราคงต้องรอให้ชลชาติพื้นขึ้นมาเองแล้วล่ะ ทีนี้ที่สมรภูมิรบที่เกิดขึ้นฉันจะชี้แจ้งว่าแต่ละคนทำหน้าที่อะไรบ้าง เริ่มจากที่เมืองอุมเบเรีย สำหรังกองร้อย W หยางเฉินทางนั้นอยากให้นายเป็นผู้บัญชาการรบ ฉันจึงมอบหมายหน้าที่นี้ให้นาย"
"ผมจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดครับ" นายพลหยางเฉินกล่าว
ผบ.หยางเจี้ยนหลงเชื่อมั่นว่าหยางเฉินจะสามารถ นำชัยชนะกลับมาได้อย่างแน่นอนส่วนทางฝั่งเมืองไอโอเนียน ซึ่งถูกทัพจักรวรรดิเปรเซียร์โจมตีด้วยการส่งเครื่องบินปล่อยพลร่ม เข้ามารุกรานแต่ตอนนี้กองทัพแพนธีออนส่งกำลังทหาร เข้ามาตรึงกำลังเอาไว้โดยไม่ให้พวกจักรวรรดิเข้ายึดเมืองได้ ทว่าล่าสุดทัพของจักรวรรดิเปรเซียร์ที่นำทัพโดย "พลโทซูคอฟ" เจ้าของฉายา "หมาบ้า" แห่งกองพันทหารจู่โจม ซึ่งผบ.หนุ่มมอบหมายให้ "พลโททาเคชิ" ผู้เคยปะมือกับนายพลซูคอฟมาก่อน โดยรอบนี้เขาจะได้คุมกองพันฟินิกซ์ที่ 4 ในศึกที่เมืองไอโอเนียน
ส่วนทางศึกที่สาธารรัฐดีทริกที่ตอนนี้ถูกยึด โดยกองทัพของพระเจ้าวิตตอรีโอกษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรโซเฟีย ล่าสุดกลุ่มต่อต้านและคณะรัฐบาลที่ลี้ภัย อยู่ที่เมืองหลวงของฟรอนร์เทียร์ได้ขอกำลังทหาร ซึ่งจะมีกองพันทหารที่ 8 กับกองร้อย T ของ "พันเอกณเดช" ต้องยกทัพขึ้นบกผ่านทางชายหาดวาแวนซา เพราะฉะนั้นผบ.หยางเจี้ยนหลงจึงอยากให้ผู้พันณเดช ไปจัดเตรียมให้กองร้อย T ให้มีความพร้อมในการรบ
สำหรับคนอื่นๆให้รอคำสั่งเบื้องบนต่อไป แต่ก็ต้องให้ทหารทุกนายโดยเฉพาะหน่วยรบ SAS มีความพร้อมในการรบมากกว่าคนอื่นๆ และต้องไม่ให้เสื่อมเสียเกียรติของนักรบฟินิกซ์เป็นอันขาด ทุกคนในห้องประชุมขานรับพร้อมกัน และผบ.หยางเจี้ยนหลงจึงทำการเลิกประชุมในทันที เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว มีเพียงนายพลหยางเฉินคนเดียวที่ยังยืนเหม่อมองวิวนอกหน้าต่าง ระหว่างที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก็ได้สติเมื่อมีคนจับหัวไหล่ของเขา
"นายไม่ควรมายืนลอยหน้าลอยตาแบบนี้นะพวก นายควรไปหากองร้อยของนาย" นายพลหยางเฉินฉีกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันมาทาง "พันเอกเซียวจ้าน" เพื่อนสนิทของเขา
"แล้วนายละไม่ไปดูแลกองร้อยนายหรือไง" ผู้พันเซียวจ้านยักไหล่
"ฉันกำลังไปดูพวกนั่นอยู่แล้ว แต่เห็นนายยืนเหม่ออยู่เลยจะมาเรียกสติสักหน่อย"
"ขอบใจละกันที่อุตส่าห์แวะมาเรียกสติฉันนะ ไอ้บ้าเอ้ย" นายพลหยางเฉินว่า ซึ่งตอนแรกผู้พันเซียวจ้านยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้น
"น้องชายฉันจะถูกส่งไปรบที่อุมเบเรีย..... ทั้งสองคนเลย" นายพลหยางเฉินถึงกับหันขวับมาทางเพื่อนรักในทันที
"อ้าวไจ๋กับหลิงเทียนนะเหรอ"
"ใช่"
ทหารหนุ่มทั้งสองนิ่งเงียบไม่พูดอะไรต่อ จนกระทั่งผู้พันเซียวจ้านหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ โดยนายพลหยางเฉินเป็นคนจุดไฟให้ เขารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นยุวชนทหารกองสำรอง ผ่านสมรภูมิเสี่ยงตายมาด้วยกันก็หลายครั้ง และด้วยความที่สนิทกันเขาจึงเข้าใจว่าเพื่อนร่วมรบคนนี้ มีความกังวลมากน้อยแค่ไหนที่น้องชายสองคนต้องไปรบ ในที่ที่ห่างสายตาของตัวเองแต่ด้วยตำแหน่งผู้พันและวอร์ลอร์ด ผู้พันเซียวจ้านจะแสดงความรู้สึกไม่ได้เด็ดขาดโดยเฉพาะภาวะสงครามแบบนี้